วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2558

บาปกรรมของความรัก 21 ลักษณะ

บาปกรรมของความรัก 21 ลักษณะ
1.เจ็บปวดทรมานใจจากการรักเขาข้างเดียว
สาเหตุของกรรมมาจาก ในอดีตชาติ เคยเเอบเคียดเเค้นพยาบาท หรือลบหลู่ผู้ที่เราเเอบรัก ในชาตินี้จากกรรมื่เราทำร้ายคนผู้นั้นทางใจ โดยที่ผู้นั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลย ชาตินี้จึงส่งผลทำให้เราเจ็บปวดทรมานใจข้างเดียวโดยคนผู้นั้นก็ยังคงไม่รู้เรื่อง ไม่รับรู้อะไรเลย งชาติที่เเล้วและชาตินี้
วิธีลดกรรม หรือเเก้กรรม กรรมชนิดนี้แก้ไม่ยาก หากรู้ตัวว่าเป็นผลจากกรรมที่เราเคยคิดไม่ดีต่อเขา ให้เราทำใจเสียว่าความรักที่เรามีให้เขาเป็นเพียงกรรมเก่า หลังจากนั้น ให้ตั้งจิตอธิษฐานขออภัยขออโหสิกรรมจากเขาเสีย แล้วหมั่นทำบุญอธิษฐานจิต และเเผ่ส่วนบุญกุศลให้เขา เมื่อเราเจอเขาก็ทำตัวปกติเสีย กรรมชนิดนี้เกิดขึ้นจากใจเราเเละก็พยายามทำให้จบลงที่ใจเราเสีย
2.ขาดเสน่ห์ ไม่มีคนสนใจหรือมารัก
สาเหตุของกรรมมาจาก ในอดีตชาติ หรืออาจเป็นกรรมที่ทำในชาติปัจจุบัน คือ ไม่เคยชอบผู้ใด เจอใครก็คิดในเเง่อคติไปหมด ชอบคิดร้ายต่อผู้อื่นและมีนิสัยไม่เป็นมิตร พูดจาให้ร้ายผู้อื่น
วิธีลดกรรมหรือเเก้กรรมหากชาติปัจจุบันไม่มีนิสัยดังกล่าว แสดงว่าเป็นกรรมในอดีตชาติ ทีทำให้ไม่มีใครรักใครชอบ เวลานึกจะรักผู้ใดก็ไม่มีใครรักตอบ ให้หมั่นทำบุญไหว้พระทุกวัน เพื่อทำให้จิตใจผ่องใส ไม่คิดร้ายต่อผู้ใด ให้ถวายทาน เช่น ใส่บาตร หรือถวายสิ่งของต่อพระสงฆ์เท่าที่จะทำได้ แต่ให้เน้นอธิษฐานจิตเเผ่เมตตา แผ่ความหวังดีต่อผู้อื่น และให้พยายามทำดีและเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น เช่น คิดดี พูดดี ทำดี อย่าไปนึกถึงผู้อื่นในเเง่ร้าย เเต่หากเจอคนเลวนิสัยไม่ดีจริง ก็ให้พยายามหลีกห่างเสีย เพื่อเป็นการระงับกรรมเวรที่จะเกิดขึ้น3.สูญเสียคนที่เรารัก(เเบบจากกันตลอดไปเพราะเขาเสียชีวิต)
สาเหตุของกรรมมาจาก ในอดีตชาติ คนที่เรารักได้ทำกรรมหนัก ในการตัดชีวิตผู้อื่น อาจเป็นการฆ่าคน หรือสัตว์ประเภทต่างๆ อาจเป็นบาปที่เกิดจากการฆ่าคนหรือสัตว์ที่รักกันให้เเยกจากกัน ส่วนเรานั้นอาจเป็นผู้สมคบร่วมคิด เราอาจไม่ได้เป็นผู้ลงมือฆ่าชีวิตคนหรือสัตว์นั้นๆ เเต่คนที่เรารักอาจเป็นผู้ลงมือกระทำ ซึ่งเราเป็นผู้รู้เห็นเป็นใจด้วยในทุกขั้นตอน ดังนั้น เมื่อคนที่เรารักได้ตายไปในชาตินี้ เราจึงต้องรับกรรมโดยโศกเศร้า ทนทุกข์ทรมานเพราะการจากไปของคนที่เรารักมาก
วิธีลดกรรม หรือเเก้กรรม ต้องทำบุญโดยการไถ่ชีวิตสัตว์ต่างๆ ให้ปล่อยสัตว์ที่กำลังจะโดนนำไปฆ่า เช่น ปลา ไก่ หมู วัว กระบือ ฯลฯวิธีการที่ดีที่สุด ในการไถ่ชีวิตสัตว์ คือ ไปตลาดที่กำลังมีการค้าสัตว์เพื่อนำไปฆ่าและปรุงอาหาร ให้ซื้อสัตว์เหล่านั้น เอาไปปล่อยในสถานที่ที่เหมาะสม เพื่อให้เขามีชีวิตตามธรรมชาติต่อไปหรืองดกินเนื้อสัตว์ หรือกินเจ โดยอาจกำหนดระยะเวลา ต้งเเต่ 3 เดือนไปจนถึงตลอดชีวิต หากทำได้ยาก อาจเริ่มจากการกินสัตว์เล็ก เช่น กุ้ง หอย ปลาเล็ก ไข่ ฯลฯ โดยไม่กินสัตว์ใหญ่ เช่น ไก่ หมู วัว กระบือ ฯลฯ ซึ่งจะเป็นการลดการเข่นฆ่าสัตว์ที่ต้องเสียชีวิตเพราะนำมาเป็นอาหารของเราได้อย่างมากมาย และเราสามารถอธิษฐานจิตเเผ่เมตตาให่เเก่เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งคนที่เรารัก ผู้ที่ได้จากไป รวมทั้งเจ้ากรรมนายเวรของเราทั้งหมดหลังจากได้ทำบุญทุกชนิด เช่น ใส่บาตร บริจาคทานต่างๆ ฯลฯ
4.อาภัพคู่ ไร้คู่ครอง
สาเหตุของกรรมมาจาก ในอดีตชาติ เคยผิดลูกผิดเมียเขาในอดีตชาติ หรือทำให้ผู้อื่นไร้คู่ครอง โดยอาจไปแย่งคนรักของผู้อื่นมาโดยไม่ถูกต้องชอบธรรม อาจเคยเป็นเมียน้อย เมียเก็บ จนทำให้ครอบครัวของผู้อื่นต้องทุกข์ระทม
วิธีลดกรรม หรือเเก้กรรม
ให้ถือศีล8 ให้มีความบริสุทธิ์ งดกิจกรรมทางกาม หรือบวชพระ บวชชีพราหมณ์ บวชชี หรือร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพงานเเต่งงานให้คู่รักมีความสมหวังในรัก และเวลาถวายทานสิ่งใดก็ตาม ก็ให้เน้นถวายเป็นคู่ เช่น เทียนคู่ เชิงเทียนคู่ หมอนคู่ เเจกันคู่ ผ้าไตรคู่ เครื่องไทยทานคู่ เป็นต้น
5.ได้คู่ครองที่เลวร้าย
สาเหตุของกรรม มาจาก ในอดีตชาติ เคยทุบตี หรือทำร้ายกันมาก่อน อาจเคยสมคบทำเรื่องเลวร้ายมาด้วยกัน และในกรณีของเวรกรรมที่เป็นควมแค้นต่อกัน อาจเคยข่มขืนเขาหรือฆ่าเขา หรืออีกกรณีอาจเคยมีเรื่องบาดหมาง ทำให้เขาผูกใจพยาบาทโดยที่เราไม่รู้ตัวก็เป็นได้ คู่ครองชนิดนี้ เเรกๆอาจจะดี หรืออาจส่อเเวร้ายตั้งเเต่แรกเลยก็เป็นได้ แต่ยังไงๆ ก็จะทำร้ายหรือทำให้เราเป็นทุกข์ เพราะไม่ใช่คู่เเท้หรือคู่บุญ แต่อาจเป็นคู่เเค้น หรืออาจเป็นคตู่กรรม
วิธีลดกรรม หรือเเก้กรรม
หากเป็นคู่กรรม นั่นเป็นเพราะมีบาปกรรมมาก คู่ครองของเราจึงออกมาลักษณะนี้ ให้หมั่นชักชวนทำบุญร่วมกัน พยายามทำดีกับเขาให้มากๆ แผ่เมตตา และอธิฐานจิตให้เขาเจอเเต่สิ่งดีๆ มีความสุข และกลับตัวกลับใจได้ โดยหมั่นทำบ่อยๆ แต่หากเป็นคู่เเค้นเหมือนพระพุทธองค์เจอกับพระเทวทัตต์ หากรู้ตัวให้จงรีบหนีออกห่าง เพราะคู่เเค้นจะไม่เหมือนคู่กรรม คู่เเค้นจะจองเวรเอาเรื่องอย่างเดียว หากเพียงเบาบางก็ทำร้ายเราจนหมดเวรต่อกัน แต่หากหนักๆ อาจฆ่าเราถึงตายได้ เราต้องหาทางระงับไม่ให้เกิดการจองเวรต่อกันอีก พยายามวางเฉย ถืออดทน ไม่จองเวรกลับ ให้บาปกรรมยุติเสีย เช่น บวชพระ หรือบวชชี อาจเป็นชีพราหมณ์ก็ได้ และต้องหมั่นทำบุญไถ่ชีวิตสัตว์ชนิดต่างๆ หรือถือศีลกินเจก็ได้ หากเคยถูกทำร้ายมาก่อน ให้แผ่เมตตาอโหสิกรรมเสีย
6.ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไร้คู่ ไร้คนเหลียวเเลจริงๆ
สาเหตุของกรรมมาจาก ในอดีตชาติ เคยจับสัตว์ขัง จับคนมากักขัง หรือยุยงทำให้ผู้อื่นเกลียดชังกัน แตกแยกกัน โกงผู้อื่นทำให้เขาหมดที่พึ่ง กลายเป็นคนอนาถาไม่มีที่ไป
วิธีลดกรรมหรือแก้กรรม
ทำบุญปล่อยให้สัตว์ต่างๆ เป็นอิสระ หรือให้ชีวิตใหม่เเก่สัตว์ ทำบุญทำทานเเก่เด็กอนาถา สัตว์อนาถา และผู้ที่ไร้คนเหลียวเเล การบริจาคเงินเพื่อสัตว์ เด็ก คน ผู้หิวโหยและถูกทอดทิ้งขว้าง จะช่วยเติมไฟให้เเก่จิตใจของบรรดาผู้ยากไร้ และทำให้เรามีความสุขใจและอบอุ่นใจในปัจจุบันด้วย
บุญชนิดนี้ อาจทำให้ผู้หมั่นสร้างมีคู่ในปัจจุบันชาติได้ ขึ้นอยู่กับกำลังบาปบุญจากชาติที่ผ่านมาและปัจจุบัน หากกำลังบุญมีมากกว่าบาป ผู้หมั่นทำย่อมได้คู่สมใจอย่างเเน่นอน
7.รูปร่างหน้าตาไม่งดงาม ทำให้ไม่มีผู้ใดมาชอบ มารัก
สาเหตุของกรรม มาจาก ในอดีตชาติ ไม่เคยถวายดอกไม้ของหอม หรือของงดงามให้แก่ทางศาสนาและผู้ที่ควรถวาย เช่น ผู้มีพระคุณ ผู้อุปการะ พระสงฆ์ นักบวช เพื่อนฯลฯ หรือไม่รักษาความสะอาด ชอบความสกปรกรกรุงรัง ทำให้ชีวิตปราศจากสิ่งสวยงาม ชอบอยู่กับความอัปลักษณ์และความสกปรก
วิธีลดกกรรมหรือเเก้กรรมการเเก้กรรมในยุคปัจจุบันมี2 วิธี 1.ใช้หลักทางวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วย เช่น ออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร ใส่ใจเรืองสุขภาพ จะช่วยได้ หรือทำศัลยกรรมใบหน้า ซึ่งหากทำศัลยกรรมได้ถูกต้องตามกระบวนการเเพทย์ก็ไม่น่ากลัว เเต่หากมีบาปกรรมมาหนุน อาจทำให้ศัลยกรรมผิดพลาดและเป็นอันตรายต่อร่างกายได้2. วิธีสร้างบุญ เเต่จะเป็นไปตามกฎเเห่งกรรม ที่ว่ากรรมตามเวลา คือ บุญชาตินี้จะไปเปลี่ยนกรรมทำให้เกิด(ชนกกรรม)ในชาติหน้า เพราะชาตินี้ใบหน้าถูกกรรมทำให้เกิดหลอมจนคงรูปแล้วเปลี่ยนไม่ได้ ยกเว้นใวธีเเรก(ศัลยฏรรม) ซึ่งเป็นการผิดธรรมชาติ
ผู้ทำต้องสามารถรับกรรม ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีจากการเปลี่ยนหน้าตนเองโดยวิธีทางวิทยาศาสตร์ให้ได้ หากไม่ต้องการศัลยกรรม ให้ใช้วิธีลดกรรมและสร้างบุญใหม่เพื่อชาติหน้าด้วย เช่น ถวายพวงมาลัยดอกไม้สด ดอกไม้หอม ของสวยงาม และมีประโยชน์ให้แก่ศาสนา หรือเวลาจะเอาของใคร ก็เอาของดีๆ สวยงามให้เขา และทำบุญบริจาคเลือด ดวงตา หรือ อวัยวะร่างกายให้เเก่โรงพยาบาล
8.ได้คู่ครองเป็นคนมีเจ้าของอยู่เเล้ว หรือเป็นเมียน้อย เป็นเมียเก็บ
สาเหตุของกรรมมาจาก ทั้งในอดีตและปัจจุบันชาติ ต้องเคยทำผิดศีลข้อ3 นั่นเอง คือ ชอบเสพกามกับผู้มีเจ้าของอยู่เเล้ว หรือประพฤติผิดทางกรรม เช่น มีความสัมพันธ์ชู้สาวกับลูก เมีย หรือ สามีของผู้อื่น โดยที่ทำให้ครอบครัวของเขาต้องมีความร้าวราน เจ็บปวด หรือแตกแยก ไม่เช่นนั้นทางเราก็ต้องมีเจ้าของอยู่เเล้ว เล้วเราทำผิดต่อคู่รักตนเอง หรืออาจเคยข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยเขาไม่ยินยอม หรือในอดีตชาติ เคยอธิฐานจิตร่วมกันมาว่ากี่ชาติก็ขอให้ได้ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันซึ่งถ้าคู่ที่เราอธิฐานร่วมไว้นั้น มีกรรมร่วมกับผู้อื่นมากกว่าหรือก่อนที่เราจะเข้าไปในชีวิตเขา เราเข้าไปภายหลัง ย่อมกลายเป็นเมียน้อย เป็นเมียเก็บ หรือได้คู่ครองเป็นคนมีเจ้าของอยู่เเล้ว
วิธีลดกรรมหรือเเก้กรรมคือ หากมีสติก็สามารถหยุดบาปปัจจุบันไว้ได้ พยายามหนีห่างออกมาจากสภาพท่เป็นอยู่เสีย ส่วนวิธีสร้างบุญคือ ร่วมเป็นเจ้าภาพช่วยเหลืองานเเต่งงาน หรือถวายทานคู่ เช่น ถวายธงคู่ ธูปคู่ เชิงเทียนคู่ หมอนคู่ เครื่องไทยทานคู่ ฯลฯ และทุกครั้งท่ทำบุญควรอุทิศผลบุญ แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยมีบาปกรรมต่อกันและขออโหสิกรรมเสีย การทำบุญทุกชนิดและการอธิษฐานจิต ขอให้เขาไปดีมีความสุข และขอให้ตัดขาดจากกันไปเลย จะช่วยบรรเทากรรมตรงนี้ได้ส่วนวิธีแก้กรรมที่ดีที่สุด คือ การถือเพศพรหมจรรย์ เช่น ถือศีล8 และบวชชี หรือชีพราหมณ์ หากเป็นผู้ชายก็สามารบวชพระได้ อาจกำหนดเวลาที่ถือศีลและบวช ไว้ที่ 8 วัน 20 วัน 2 เดือน หรือเเล้วเเต่สะดวก
9.จิตใจ ไม่สงบ มักฟุ้งซ่าน ร้อนรน เป็นทุกข์เพราะความรัก
สาเหตุของกรรมมาจาก บาปทางใจ เช่น เคยริษยาผู้อื่น แค้นเคือง ผูกพยาบาท โกรธ โมโห ลบหลู่เขา ฯลฯ โดยที่เขาไม่ได้รับรู้เรื่องด้วยเลย กรรมชนิดนี้ คล้ายกรรมที่รักเขาข้างเดียวเเล้วเป็นทุกข์ แต่กรรมชนิดนี้ จะมีเหตุมาจากกรรมทางใจชนิดอื่นด้วย และเจ้ากรรมนายเวรของเราอาจมีหลายคน อาจมีทั้งที่เสียชีวิตแล้วและยังมีชีวิตอยู่ บาปจากกรรมนี้จะทำให้ใจสับสนคล้ายไร้จุดยืน ไม่มีสมาธิ มักกังวลเรื่อยเปื่อย
วิธีลดกรรมหรือแก้กรรมควรทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน หรือทานทุกชนิด อาจมีการไถ่ชีวิตสัตว์ทุกชนิด และให้เน้นนั่งสมาธิ สวดมนต์ (อาจสวดคาถาชินบัญชร และแผ่เมตตา อธิษฐานจิต ตัดความทุกข์ทางใจของเราเอง
อาจอธิษฐานจิตแผ่เมตตา ให้ผู้มีเรื่องกับเราอยู่ดีมีสุข ไม่มารบกวนเราทางใจอีก และให้เน้นการปล่อยวางทางใจ สามารนั่งสมาธิ ได้ทั้งเเนวสมถะและวิปัสสนา ควรหาคู่มือสมถะเเละวิปัสสนาเล่มเล็กมาใช้เพื่อการระงับใจที่ถูกต้อง
10.โง่เขลาเพราะความรัก และถูกคนที่เรารักหลอกลวงอยู่รำไป
สาเหตุของกรรมมาจาก ในอดีตชาติ เคยดูถูกความรักและคนที่เขารักเรา และอาจดูถูกผู้ที่เขาเป็นคนดี ผู้ที่หมั่นหาความรู้และประกอบเเต่กรรมดี หรืออาจเคยหลอกคนที่เขารักเรา หรือชักชวนคนที่หลอกเราในชาตินี้ ให้ไปกระทำผิดด้านความรัก ด้านชู้สาว โดยอาจทำให้คู่กรณีที่กล่าวมามีความเจ็บปวด ทรมานทั้งกายและใจ ส่วนตัวเรานั้น ก็ไม่ขยัน หมั่นเพียรศึกษาหาความรู้ที่ดีงาม แต่กลับหมกหมุ่นในเรื่องชู้สาว เรื่องความรักที่มีเเต่โทษ
วิธีลดกรรมหรือเเก้กรรม ให้ทำบุญ ถือศีล 5 หรือ 8 และทำทาน โดยเน้นทำบุญด้านหนังสือธรรมะ หรือพิมพ์บทสวดมนต์เเจก หากอยู่ในช่วงโดนหลอกอย่างหนัก อาจ ถวายเทียน หลอดไฟฟ้า น้ำดื่ม ถังบรรจุน้ำ เครื่องกรองน้ำ ให้เเก่วัด เพราะเป็นสัญลักษณ์เเห่งเเสงสว่างและความไหลรื่น จะได่เกิดความสบายใจ และเกิดผลในเเง่บวกต่อใจในขณะนั้นนอกจากนี้ ยังสมารถบำรุงปัญญาโดยการสวดมนต์และทำสมาธิทุกวัน แล้วอธิษฐานจิตขอให้วิบากรรมของเราหมดไป อธิษฐานขอโทษ ขออโหสิกรรม และแผ่เมตตาให้คนที่หลอกเรา และขอให้เขามีความสุข โดยอธิษฐานขอให้เขาอย่าได้หลอกลวงเราอีกเลย เป็นการตัดบาปกรรมที่มีต่อกันให้สิ้นเสีย
11.มีคนรักก็จริง แต่กลายเป็นคนรับใช้ ของคนรักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สาเหตุของกรรมมาจาก การที่ทั้งคู่เป็นคู่กรรมร่วมกันมาตั้งเเต่อดีตชาติ มีความรักร่วมกันมาและมีใจมุ่งมั่นจะเป็นคู่ครองกัน หรืออาจอธิษฐานจิตเป็นคู่กันในชาติต่อๆมา แต่มีบาปร่วมกัน เช่น เคยใช้คนรักของตนเหมือนทาส เคยเนรคุณทรยศคนรักของตน หรืออาจเคยติดหนี้บุญคุณคนรักหลายอย่าง แต่บาปตรงนี้อาจไม่หนักมาก จึงยังคงรักกันอยู่ แต่ต้องคอยรับใช้เขาเหมือนเช่นเราเคยใช้งานเขาในอดีตชาติ
วิธีลดกรรมหรือเเก้กรรม
พยายามทำบุญต่อทั้งเขาและผู้รอบข้าง เช่นครอบครัว ญาติพี่น้อง และผู้ใกล้ชิด อย่างจริงใจและในจำนวนครั้งที่มากครั้ง เพื่อบุญจะได้ผลักดันบาปเก่าให้เคลื่อนห่างออกไป และส่วนที่ชดใช้กรรมหากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องมีความอดทนหากเรายังรักคนรัก ของเราอยู่ ให้ถือเสียว่า ตั้งใจชดใช้บาปกรรมของเราและตั้งใจสร้างบุญใหม่ขึ้นมาแทรกเเซง อาจใช้วิธีทางจิตวิทยา เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยทำให้คนรักเราเห็ว่า เรารักเขาจริง หากรักกันจริง ก็ต้องเข้าใจเราบ้าง และให้พาเขาไปทำบุญร่วมกันบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการมีบาปร่วมกันเช่น ร่วมกันตอบเเทนคุณของพ่อเเม่ทั้งสองฝ่าย ร่วมกันสร้างพระพุทธรูป รวมทั้งไถ่ชีวิตสัตว์ประเภทต่างๆ ร่วมกัน และในการทำบุญแต่ละครั้งให้หมั่นแผ่เมตตา ให้เขาและอธิษฐานจิตให้เขาเลิกทำร้ายเราทางใจ หรือเห็นเราเป็นคนรับใช้เสียที เมื่อบาปตรงนี้เจือจาง ท่าทีของเขาจะเปลี่ยนไป และเราก็สมารถปรับเปลี่ยนท่าที ไม่ต้องเป็นทาสรับใช้เขาอีกต่อไป แต่เน้นเดินร่วมกันบนทางเดินเเห่งชีวิตคู่
12.โดนคนรักเอาเปรียบ
สาเหตุของกรรมมาจาก เคยเบียดเบียนเงินหรือสิ่งของของผู้อื่น เช่น พ่อเเม่ ญาติพี่น้อง โดยเฉพาะคนที่เป็นคู่เวรคู่กรรมกับเราไว้ในอดีตชาติ เคยโกง ผู้มีพระคุณหรือคู่เวรคู่กรรมในอดีตชาติ กรรมชนิดนี้ รวมถึงการขโมยเงิน หรือทรัพย์สินต่างๆ ของครอบครัว และของคู่เวรคู่กรรม ของเรามาใช้
วิธีลดกรรมหรือแก้กรรมให้ลดกรรมด้วยการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และการให้ทานทุกประเภท อย่ายึดติดในสิ่งของที่ต้องใช้ร่วมกัน และให้ถือเสียว่า การที่เราเผื่อเเผ่ในสิ่งที่เราไม่ได้ใช้หรือไม่มีประโยชน์ต่อเรามากนัก ก็นับว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ซึ่งเราควรยินดีด้วย และหลังจากการให้ทานเเล้ว ให้อธิษฐานจิตขออโหสิกรรมเจ้ากรรมนายเวร หรือคนรักของเราเสีย อย่าให้มีเวรกรรมต่อกัน และจงอย่าคิดแค้น หรือเอาคืนจากคนรักที่กำลังเอาเปรียบเราอยู่ เพราะจะเป็นเวรกรรมต่อกันไม่จบสิ้น
13.เป็นทุกข์เพระคนรักเจ้าชู้
สาเหตุของกรรมมาจาก ในอดีตชาติ หรือเเม้เเต่ชาติปัจจุบันเป็นคนเจ้าชู้ ไม่รักใครมั่นคง ชอบหลอกผู้อื่นให้อกหักและเศร้าโศก อาจมีพฤติกรรมนอกใจคู่รักเข้ามาเกี่ยวข้อง
วิธีลดกรรมหรือเเก้กรรมให้ลดบาปกรรมที่ตัวเรา โดยเริ่มประพฤติดีปฎิบัติดีทั้งความคิด กาย วาจา ใจ หากตนเองมีพฤติกรรมเป็นคนหลายใจ ก็ให้เลิกเสีย เพราะจะเป็นบาปส่งให้คนรักเรานอกใจเราอยู่ร่ำไป หากคนรักเป็นคนเจ้ชู้มาก ให้ปรับพฤติกรรมของเราเสีย การราวีและจับผิด หรือทะเลาะเบาะเเว้ง เพราะเรื่องนี้จะเป็นการสร้างเวรกรรมใหม่เพิ่ม นอกจากจะระงับกรรมปัจจุบันไม่ได้แล้ว ยังทำให้เรื่องราวลุกลามใหญ่โตอีกด้วย พยายามทำบุญให้จิตใจผ่องใส ให้ทำบุญและอธิษฐานจิตบ่อยๆ ให้หมดเวรหมดกรรมตรงนี้เสีย จะได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีงามต่อชีวิต ส่วนการทำบุญเกี่ยวกับความรัก เช่น ถวายทานเป็นคู่ ร่วมทำบุญงานแต่งงาน ทำสิ่งดีๆ ให้คนอื่นได้สมรักสมหวังกัน ฯลฯ จะช่วยส่งเสริมให้ความรักของเราได้สมหวัง
14.กรรมที่ต้องมีคู่รักมาก
สาเหตุของกรรมาจาก การที่เราได้มีจิตผูกพันรักใคร่ หรือร่วมอธิษฐานจิต ร่วมเป็นคู่กับคู่รักหลายคน หรือทำบุญร่วมกันมา ซึ่งตามกฎเเห่งกรรมของความรักนั้น ชายหญิงจะมีคู่เรียงกันมา ราวๆ 5 คน เพราะจริงๆ แล้วคนที่เคยอยู่ร่วมกันมา มีนับชาติและนับคนไม่ถ้วน แต่คนที่จะอยู่ร่วมกันด้วยจะมีเพียงคนเดียว เพราะเป็นเนื้อคู่แท้ที่อยู่ร่วมกันมาและตั้งจิตจะอยู่คู่กันมามากชาติที่สุด ซึ่งเนื้อคู่ที่เคยอยู่ร่วมกันมาในอดีตชาติ ไม่จำเป็นต้องมาปรากฏอยู่ร่วมกับเราทั้ง5 คนก็ได้
แต่กรณีที่มีคู่รักมาก จนทำให้เกิดความเจ็บปวดทั้งสองฝ่ายเพราะความพลั้งเผลอในบุญและกรรมที่เผลอทำร่วมกันมา ตัวอย่าง เช่น เคยถวายทานเเก่พระร่วมกัน ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกันมาก่อน โดยในขณะที่ถวายนั้น เผลอมีจิตชอบหลงใหลชอบกันชั่วเเวบขณะหนึ่ง ทั้งบุญและบาปตรงนั้นจะเป็นกรรมแทรกเนื้อคู่อันเเท้จริงที่มีเเต่เดิม มาจนกลายเป็นปัญหารักสามเส้า หรือหลายๆเส้าก็เป็นได้
วิธีลดกรรมหรือเเก้กรรม
อาจใช้วิธีปัจจุบันทันด่วน จะได้แก้ปัญหาทันท่วงที นั่นคือ ให้เจรจากับคู่รักของเราทั้งหมด ให้เข้าใจว่า แผนการในอนาคตควรเป็นเช่นไร เพราะอย่างไรก็ตามสังคมและวัฒนธรรมไทยยังรับไม่ได้กับการมีคู่รักพร้อมกันหลายๆคน ทั้งฝ่ายชายมีภรรยาหลายคน หรือฝ่ายหญิงมีสามีหลายคน เพราะจะเกิดปัญหาหลายอย่างในอนาคต ทั้งปัญหากฎหมายและปัญหาครอบครัว และจะทำให้ทุกคนที่เกื่ยวข้องเจ็บปวด ทรมาน และมีความทุกข์ใจอย่างมากมาย
ส่วนวิธีลดกรรม ต้องสำรวม กาย วาจา ใจ พยายามลดความกำหนัดทางกายให้ได้มากที่สุดที่ทำได้ อาจเริ่มศึกษาธรรมะให้มากขึ้นฝึกสมถะเเนวอสุภะ และวิปัสสนากรรมฐาน และถือศีล5 หรือศีล 8
ทุกครั้งเมื่อทำบุญใดๆ ก็ตาม ก็ให้อธิษฐานตัดคู่รักที่ไม่ใช่คู่เเท้ที่ต้องอยู่ด้วยกันตลอดไปออกเสีย ให้เหลือ เเต่คู่ จริงๆ ที่ต้องอยู่ด้วยกันตลอดไปหากมีคนเดินเข้ามาในชีวิตก็ต้องใช้สติพิจารณา หากพิจารณา ถ้วนเเล้ว ไม่ใช่เนื้อคู่ที่เเท้จริง ก็พยายามตัดคนๆ นั้นออกจากชีวิตไปเสีย โดยอธิษฐานจิตหลังทำบุญตลอดไม่ให้ชีวิตยุ่งเหยิงจาการรักซ้อน ส่วนเวลาทำทาน ก็พยายามทำทานด้วยของเป็นคู่ ๆ ไป เอาเคล็ดไว้ก่อน
15.กรรมที่ต้องเป็นไซด์ไลน์ สาวนั่งดริ๊ง โสเภณี หรือต้องขายตัว
สาเหตุของกรรมมาจาก ในอดีตชาติ อาจเคยพรากภรรยา หรือสามีผู้อื่น หรือเป็นคนเจ้าชู้มากรัก ประพฤติผิดทางกามเป็นประจำ และหักอกให้ผู้อื่นต้องช้ำใจ ขณะเดียวกันทั้งศีลและจริยธรรมก็บกพร่องตลอดด้วย โดยเฉพาะทางเพศ ทำให้ต้องมาเกิดเป็นโสเณี หรือคนที่ต้องทำอะไรคล้ายๆ กับการขายตัวในชาติปัจจุบัน
ซึ่งเเรกๆ อาจยังไม่รู้ตัวว่าจะต้องเป็นเช่นไร ทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่ทำเป็นสิ่งที่ดีงาม นั่นเป็นเพราะมีบาปกรรมบังตาไว้ ต่อมาเมื่อรู้ตัวและเกิดความทุกข์ก็ตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว
วิธีลดกรรมหรือแก้กรรม
ในเมื่อทำไปเสียแล้ว ก็ให้มีสติ ฉุกคิด ในสิ่งที่ตนทำไว้ ให้รู้เท่าทันในการกระทำของตน ให้นำเงินจากการขายบริการทางเพศส่งให้พ่อแม่ใช้ตลอดอย่าให้ขาด เป็นการตอบแทนคุณ ส่วนเงินส่วนหนึ่ง ก็ให้แบ่งทำบุญ โดยเฉพาะกับสัตว์ที่ถูกทิ้ง เด็กกำพร้า คนตาบอด คนพิการ คนชรา ฯลฯ
สัตว์เเละคนเหล่านี้น่าสงสาร เพราะด้อยโอกาสกว่าคนทั่วไป ให้ทำบุญเช่นนี้เป็นประจำ อย่าได้ขาด ถ้าเป็นไปได้ก็ทุกเดือนจนกว่า จะพ้นกรรมตรงจุดนี้ได้ และให้ระมัดระวังการใช้เงิน อย่าใช้ฟุ่มเฟือย สนองความสวยงามของร่างกายเเต่เพียงอย่างเดียว ให้ตั้งใจระมัระวัง สำรวมกายและใจ อาจถือศีล กินเจ
ส่วนข้อที่ละไม่ได้ไม่เป็นไร ให้ตั้งใจถือศีลข้อที่ละได้อย่างเคร่งครัด เช่น ไม่พูดโกหก ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ดื่มสุรา ไม่ผิดคนรักของผู้อื่น นอกจากอาชีพท่ตนทำอยู่ หรือพยายามอย่าให้ตนเป็นสาเหตุที่ทำให้ครอบครัวผู้อื่นต้องเลิกร้างกัน ให้พยายามครองโสดตลอดไป อย่าเพิ่งมีความรักแบบหนุ่มสาวจนกว่าจะพ้นอาชีพ หรือวิบากกรรม ตรงจุดนี้แล้ว ให้อธิษฐานจิตเเผ่เมตตา ขออโหสิกรรม ขอตัดกรรมกับเจ้ากรรมนายเวร หรือคู่กรณีหลังจาการทำบุญทุกครั้ง และขออธิษฐานจิตทำความดียิ่งๆ ขึ้นไปเพื่อให้มีชีวิตที่ดีขึ้น

16. กรรมต้องพลัดพรากจากคนรัก(คนรักยังมีชีวิตอยู่)
สาเหตุของกรรมมาจาก ในอดีตชาติ ได้ทำการพรากลูกพรากเมียผู้อื่น หรือได้วางแผนยุยง และทำให้บ้านเมืองและหมู่คณะ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่รักกันต้องพลัดพรากแตกแยกกัน บาปชนิดนี้ เกิดขึ้น เพราะทั้งเราและคนที่เรารัก อาจเป็นคนร่วมกันทำในอดีตชาติ หรืออาจจะทำฝ่ายเดียว ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งสมรู้ร่วมคิด รู้เห็นเป็นใจ ทำให้ในชาติปัจจุบัน ทั้งเราและคนที่เรารัก ต้องรับกรรม แตกแยกกัน ไม่มีทางได้กลับมารักกันได้ หรือยังรักกันแต่ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้
หากเรามีครอบครัว ครอบครัวของเราอาจแตกแยก พลัดพราก บ้านเเตกสาเเหรกขาดอย่างที่ไม่ต้องการจะให้เกิดขึ้นในชีวิต
วิธีลดกรรมหรือเเก้กรรม
หากต้องพลัดพรากจากครอบครัวและบ้านเมืองอันเป็นที่รัก แสดงว่าเป็นบาปกรรมหนัก อาจเป็นกรรมที่ทำให้ประเทศชาติและคนในชาติต้องเเตกแยกร้าวราน จำต้องอดทนรับกรรมที่เกิดขึ้น เพราะบาปที่เกิดขึ้นหนักมาก บุญที่ทำไม่อาจผลักดันให้บาปนั้นเคลื่อนห่างได้โดยง่าย แต่ก็ให้ทำการลดกรรมด้วยการทำบุญตลอดเวลา จะได้ไม่มีผลบาปส่งไปถึงชาติหน้า และชาตินี้ อาจมีโอกาสที่กรรมตรงนี้จะหมดไป ให้เน้นการทำบุญที่เป็นการส่งเสริมให้เกิดความปรองดองขึ้น
เช่น บริจาคเงินเข้าโครงการร่วมพัฒนาชนบท อาหารกลางวันเด็ก โครงการช่วยเหลือเด็กบ้านแตก หรือเด็กกำพร้ ฯลฯ และเงินที่ใช้บริจาคทาน ไม่ควรมาจากการโกงกินกรือโดยมิชอบ หลังจาการทำบุญทุกครั้ง ให้อธิษฐานจิตเพื่อให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้ และหากรู้ว่า การกลับคืนมาของคนที่รักไม่สามารถเป็นไปได้ ก็ให้ทำบุญแผ่ส่วนบุญกุศลไปถึงคนที่เรารักบ่อยๆ เพื่อให้ชีวิตของเขามีความสุข และให้หมั่นอุทิศตัวทำบุญเพื่อสาธารณประโยชน์ให้มากครั้ง
17. ต้องเจ็บตัวหรือเจ็บใจเพราะความรักเป็นประจำ
สาเหตุของกรรมมาจาก ในอดีตชาติ อาจเคยมีเรื่องบาดหมางกับผู้คนมากมาย หรือเคยทรมานทาส ทำร้ายร่างกายผู้อื่นไว้ ทำให้ชาตินี้ ต้องมารับวิบากกรรม กรรมชนิดนี้ จะรวมการเจ็บตัว และเจ็บปวดใจเข้าด้วยกัน
วิธีลดกรรมหรือเเก้กรรม
ให้ตั้งจิตอุเบกขาอดทนรับกรรม ให้อธิษฐานจิตว่า ยินดีรับผิดเเล้ว ยินดีให้ลงโทษไปตามกรรมที่ได้เคยก่อขึ้นมาในอดีตชาติ และขอขมา ขออโหสิกรรม และขอให้บุญที่ทำมาดีแล้ว จงแผ่ไปสู่เจ้ากรรมนายเวรและคู่กรณี หรือคนรักที่ทำให้ต้องเจ็บตัวและเจ็บใจทุกๆท่าน ให้ท่านเหล่านั้นจงมีความสุข และเมื่อมีโอกาส ให้ทำบุญโดยการช่วยเหลือทางการเเพทย์ต่างๆ ไม่ว่าด้วยทรัพย์ หรือเเรงกาย หรือการบริจาคเลือดหรืออวัยวะ หรือทำทานเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ที่ไร้ผู้อนุเคราะห์ เพื่อตั้งจิตอธิษฐานผลบุญและแผ่เมตตาไปให้ทุกๆ คนที่เคยมีเวรกรรมต่อกัน กรรมเก่าก็จะหมดเร็ววัน
18. เกิดมาผิดเพศหรือชอบเพศเดียวกัน
สาเหตุของกรรมมาจาก
ในอดีตชาติ อาจเคยผิดลูกเมียผู้อื่น หรือยังเหลือเศษกรรมที่ต้องชดใช้กับเจ้ากรรมนายเวรที่เป็นเพศเดียวกัน หรืออาจเคยทำกรรมแย่งภรรยาผู้อื่น หรือมีศีลและจริยธรรมบกพร่องจนต้องมาเกิดเป๋นกะเทยหรือบุคคลรักร่วมเพศ หรือเป็นคู่รักเก่าร่วมบุพเพกันมา เเต่เกิดมาเป็นเพศเดียวกันเพราะบาปกรรมที่เคยก่อไว้ บางรายอาจเป็นพรหมจุติมาก่อน จึงติดเศษบุญเก่า คือ ดูไม่คล้ายชายไม่คล้ายหญิง เพราะร่างพรหมไม่มีเพศ เเต่เนื่องจากมีบาปเก่าติดมาด้วย จึงอาจมีบางช่วงชอบผู้ชายด้วยกัน เพราะเป็นเศษบาปกรรมในอดีตชาติ
วิธีลดกรรมหรือเเก้กรรม คือ ให้ตั้งอธิษฐานจิตชดใช้กรรม โดยขอให้เจ้ากรรมนายเวรลดทอนโทษด้วยการทำบุญไปให้ อาจเน้นการทำบุญ เช่น ช่วยเด็กกำพร้า ผู้ถูกทอดทิ้ง ผู้ที่ครอบครัวแตกแยก ฯลฯ
หากอยู่ในสภาวะที่การรักร่วมเพศเป็นไปไม่ได้ หรือมีทุกข์หนัก ให้อุทิศชีวิตโสดของตน เพื่อทำงานการกุศลประเภทต่างๆ จนหมดวาระกรรม ไม่ควรฝืนเเต่งงานกับผู้หญิงที่ตนไม่ได้มีจิตรักใคร่ตามเพศชายหญิง เพราะจะทำให้เกิดบาปกรรมพ่วงผูกพันกันต่อไปในชาติหน้า ควรครองตัวเป็นโสดและใช้เวลาว่างทำบุญเพื่อสาธารณประโยชน์ต่อๆไป
ในกรณีที่มีคู่รักเป็นเพศเดียวกัน ที่สามารถอยู่ครองรักใคร่และเข้าใจกันได้ ก็ให้หมั่นเชิญชวนการทำบุญอันเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนให้มากๆ ควรหลีกเลี่ยง การตั้งใจ หรืออธิษฐานจิตให้เกิดมาเป็นเพศเช่นนี้ต่อๆไป แต่ควรขอให้คุณงามความดีที่ทำมา ให้เกิดมาเป็นเพศตามธรรมชาติตามำลังของกรรมในชาติต่อๆไป
19.มีคู่รักแต่ กลับไม่มีลูก
สาเหตุของกรรมมาจาก
ในอดีตชาติ เคยทำร้ายลูกของสัตว์อื่น หรือพรากลูกสัตว์มาจากพ่อแม่ของมัน อาจเคยข่มเหงรังแก หรือฆ่าลูกของคนอื่น แต่ถ้าในกรณีที่มีลูกช้า อาจยังไม่ทราบว่า เราเคยได้ฆ่าชีวิตลูกผู้อื่นหรือไม่ ในอดีตชาติ อาจเป็นเพียงบาปที่ไปพรากลูกผู้อื่นหรือกีดกันไม่ให้ลูกต้องพบกับพ่อแม่
วิธีลดกรรมหรือเเก้กรรม
ลดกรรมด้วยการถือศีลกินเจ 7 วัน ในทุกๆ เดือน และให้เน้นการทำบุญไถ่ชีวิตสัตว์ต่างๆ ให้ไปซื้อสัตว์ที่กำลังจะโดนฆ่าเอามาปล่อยเสีย และทำบุญบริจาคทานที่มูลนิธิช่วยเหลือสัตว์ หรือมูลนิธิเด็กอ่อน เด็กกำพร้า เด็กถูกทอดทิ้ง เป็นต้น
หากต้องการเร่งบุญให้ถือศีล8 เป็นเพศพรหมจรรย์ และกินอาหารผักเป็นนิตย์ ละเว้นการตัดชีวิตสัตว์เพื่อนำมาทำเป็นอาหารเสีย หากในปัจจุบันชาติ ไม่สามารถมีลูกสืบสกุลได้แล้ว บุญจะหนุนนำไปอีกชาติหนึ่ง หากท่านยังมีอายุไม่มาก ให้แก้กรรมโดยทำบันทึกความดีขึ้นมา
20.ชีวิตคู่ไม่ราบรื่น ทะเลาะเบาะเเว้ง กันเป็นประจำ (อาจจะร้างรากันในที่สุด)
สาเหตุของกรรมมาจาก 2 กรณี
กรณีเเรก คือ ในอดีตชาติ เคยทำบุญร่วมกันโดยไม่เต็มใจ หรือโดยไม่รู้ตัว ซึ่งในกรณีนี้ ปกติเเล้ว จะอยู่ได้ไม่นานก็ต้องร้างรากันไป แต่ทั้งคู่คงเผลอทำบุญร่วมกันในบุญใหญ่ที่มีความบริสุทธิ์มากจริงๆ จึงทำให้อยู่ร่วมกันยาวนานได้ ข้อนี้ต้องระวัง ถ้าหมดบุญแล้ว จะต้องเลิกรากันตามอำนาจแห่งกรรม
คู่ชนิดนี้ ความสัมพันธ์จะไม่ราบรื่น ทะเลาะกันบ่อยครั้งจนเลิกรากันไป โบราณเรียก เนื้อคู่ ชนิดนี้ ว่า เนื้อคู่ข้าวตอก ดอกไม้ คือ ทั้งคู่เผลอเอาดอกไม้ไปถวายพระพร้อมกันแล้วเผลอเเตะตัวกัน ทำให้บุญตรงนั้นบันดาลให้เป็นคู่รักกันตามกำลังบุญ โดยมีระยะเวลา ตั้งเเต่ 1---30 ปี ก็ยังมี หลังจานั้นก็ต้องเลิกกัน
กรณีที่สอง คือ ในอดีตชาติ ก่อนๆ เป็นคู่เเท้ร่วมกันมา แต่ขาดความปรองดองต่อกัน ไม่ชอบร่วมมือกัน ชอบทำอะไรกันคนละทาง ซึ่งอาจเป็นเพราะขาดการอธิษฐานจิต หรือชอบทำบุญต่างเวลากัน
เนื้อคู่ชนิดนี้ ปัจจุบันชาติ อาจไม่เลิกรากัน แต่หากบุญค่อยๆ ขาดจากกัน จะไม่เป็นคู่กันอีกในชาติต่อๆไป
วิธีลดกรรมหรือเเก้กรรม
ในทั้งสองกรณี คือ ร่วมใจกันทำบุญร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ เช่น ตักบาตร ถวายสังฆทาน ร่วมเป็นเจ้าภาพงานเเต่งงาน ร่วมกันไถ่ชีวิตสัตว์ต่างๆ ฯลฯ ให้ทำร่วมกันเป็นประจำ สม่ำเสมอ หรือทุกวันได้ยิ่งดี โดยให้ตระหนักว่า หากเรากับคู่รักเป็นกรณี เเรก เเสดงว่า เผลอทำบุญร่วมกันน้อยมาก ต้องเพิ่มบุญให้มากๆ จะได้ผลักชะตากรรมที่ต้องร้างรากันให้ห่างออกไปให้มากที่สุด และให้หมั่นสวดมนต์ ถือศีล ทำสมาธิร่วมกันอย่าทำบุญใดๆ หรือถือศีลคนเดียว เพราะจะทำให้เกิดช่องว่างของบุญและบาปขึ้น เช่น เราดื่มสุรา แต่แฟนถือศีล5 บุญของเเฟนเราจะยิ่งผลักคนที่ถือศีล 5 อย่างเราให้ไกลจากเขาทุก ๆ ที พยายามสำรวมกาย วาจา ใจ ให้คิดดี พูดดี ทำดี ซึ่งให้เริ่มจากเราก่อน จะได้ไม่เป็นการสร้างบาป ต่อกัน และท้ายที่สุด คือ ให้พยายาม ทำดีกับคู่รักให้มากๆ ให้คิดเสียว่าหากบุยเนื้อคู่ขาดกันวันใด เราก็จะไม่เสียใจแล้ว เพราะทำดีกับเขาที่สุดเเล้ว
21. ชีวิตคู่ไม่ประสบความสำเร็จ ในชีวิต ร่วมกันทำอะไรก็ไม่เจริญ มีเเต่ทรงกับทรุด
สาเหตุของกรรมมาจาก ทั้งคู่เป็นคู่กรรม ร่วมกันมา คือร่วมทำทั้งบุญและบาปร่วมกัน อาจเป็นคู่ ที่ไม่ควรเป็นคู่กันด้วยซ้ำ แต่บุญบาปในอดีตชาติ ทำให้หันเห มาเป็นคู่ชีวิตกัน หรือ อาจเป็นคู่เเท้ร่วมกันมาในชาติก่อนๆ แต่ร่วมกันทำบาปเล็กๆน้อยๆ หลายๆ บาปร่วมกัน

วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

นานาสาระ...4 อย่าเมื่อเกิดปัญหาในชีวิตคู่

นานาสาระ...4 อย่าเมื่อเกิดปัญหาในชีวิตคู่

4 อย่าเมื่อเกิดปัญหาในชีวิตคู่

เมื่อคนสองคนตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน
ล้วนมีความฝันถึงอนาคตอันสวยหรูของชีวิตคู่แทบทั้งนั้น
ร้อยละร้อยต่างพยายามบากบั่นทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยง
เลี้ยงสายใยของความรักความผูกพันให้มั่นคงตลอดไป


แต่ในชีวิตจริง สิ่งที่ไม่อยากให้เกิดก็มักจะเกิดขึ้นได้ โดยไม่คาดฝันเสมอ
โดยเฉพาะเรื่องชีวิตคู่ แทบจะหาคู่ที่อยู่กันโดยไม่มีปัญหายากเย็นเต็มที
อยู่ที่ว่าคู่ไหนจะมีปัญหามากน้อยเท่านั้น
และอยู่ที่ว่าเราจะฟันฝ่าปัญหาให้หมดไปได้อย่างไร


นี่คือสิ่งที่ท้าทายการใช้ชีวิตคู่อยู่เสมอมา


เมื่อพิจารณาอย่างคร่าวๆ แล้วพบว่า เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาในชีวิตคู่
...ต้องพยายามหาทางทำให้ปัญหาหยุดอยู่กับที่
ก่อนที่จะหาทางแก้ไขกันอย่างจริงจังต่อไป...



ปัญหาจะหยุดได้ต้องพึงใส่ใจถึงหลัก 4 อย่า คือ


1. อย่าคุยกันตอนมีอารมณ์

เราต้องยอมรับความจริงว่าหลายครั้งทีเดียว
เมื่อมีปัญหาเข้ามาในชีวิตคู่จะมีอารมณ์ไล่หลังตามมาติดๆ
เหมือนญาติสนิทกันเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็นปัญหาเล็ก หรือปัญหาใหญ่
มีตั้งแต่อารมณ์โกรธอารมณ์เกลียด อารมณ์ชัง หรือแม้กระทั่งอารมณ์งอน


เมื่อเกิดอารมณ์ คนรักก็มักจะลืมเหตุลืมผล
ถ้าเอาอารมณ์เป็นใหญ่ เอาอารมณ์เป็นตัวตัดสินใจ ในปัญหานั้นๆ
ผลลัพธ์ที่ออกมามักจะไม่ทำให้แก้ปัญหาได้ มีแต่จะเพิ่มปัญหาให้มากยิ่งขึ้น


เคยมีตัวอย่างมากมายที่ "ความตาย" มาเยือนชีวิตคู่
เพราะพยายามพูดกันเพื่อแก้ปัญหาตอนมีอารมณ์
จากเรื่องเล็กๆ ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ถึงขนาดฆ่ากันตายมาแล้วหลายคู่
อย่าทำเป็นล้อเล่นไป


การคุยกัน เพื่อแก้ปัญหาตอนมีอารมณ์
จะไม่มีทางแก้ปัญหาให้เสร็จสมอารมณ์หมายได้เลย
เพราะทั้งสองฝ่ายต่างมุ่งหมายที่จะ เอาชนะคะคานกัน
มากกว่าหันหน้ามาแก้ปัญหา คำพูดคำจาที่ออกมา
นอกจากจะไม่แก้ปัญหาแล้ว บางทียังทำให้เพิ่มปัญหาให้มากขึ้นซะด้วยซ้ำ


ที่พบเห็นบ่อยๆ ของการพูดกันขณะที่อารมณ์
คือ มักจะพูดแบบยียวนกวนประสาท
ทั้งๆ ที่เวลาปกติธรรมดา ที่ไม่มีอารมณ์
จะเป็นคนที่พูดจาไพเราะเสนาะโสตก็ตาม
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่มักจะเป็นแบบนี้ มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ


เวลาคนเรามีอารมณ์เรามักจะข่มใจตนเองไม่อยู่
และมักจะมองดูคู่สนทนาที่มีสถานภาพเป็น "คู่ชีวิต" ของเราแท้ๆ
กลายเป็น "คู่อาฆาต" ไปได้


เมื่อมองคู่สนทนาเป็นคู่อาฆาต ก็แทบประกาศ ผลล่วงหน้าได้เลยว่า
จะมีแขกชื่อ "ความร้าวฉาน" มาเยือนถึงชานเรือนอย่างแน่นอน
วันใดก็ตามที่ชีวิตคู่เกิดความร้าวฉาน
มักจะยากที่จะประสานให้เป็นเนื้อเดียวกันได้เหมือนเดิม


ในบางกรณีอาจจะมีการประสานกันได้
หลังจากใช้อารมณ์คุยกันเมื่อเกิดปัญหาไปในระยะหนึ่งแล้ว
แต่เชื่อเถอะว่าจะเป็นการประสานที่ไม่สนิท
มีสิทธิที่จะร้าว มีสิทธิที่จะแตก มีสิทธิที่จะแยกได้ง่าย


ทางที่ดีที่สุด คือ ต้องหยุดคุยกันทันทีเมื่อมีอารมณ์
แน่นอนที่สุด อารมณ์ของทั้งสองฝ่ายคงไม่ได้เกิดพร้อมกันทันที
ย่อมต้องมีใครมีอารมณ์ขึ้นมาก่อน
ควรสอนใจตัวเองตลอดเวลาว่า
เมื่อต้องสนทนาเพื่อแก้ปัญหากับคู่ชีวิตของเราแล้ว
เขาหรือเธอเกิดมีอารมณ์ขึ้นมา
อีกฝ่ายต้องระงับอารมณ์ อย่าให้มีขึ้นมาเหมือนกัน
แต่ควรจะหันหลังให้แล้วไปทำธุระอื่นๆ สักระยะ
จนกว่าอารมณ์ที่กำลังพวยพุ่งของอีกฝ่ายจะหายไปก่อน
ค่อยย้อนมาคุยกันใหม่


2. อย่าคุยกันแบบหูทวนลม

เมื่อทั้งสองฝ่ายระงับอารมณ์กันได้แล้ว
และพร้อมที่จะสนทนาเพื่อแก้ปัญหาร่วมกัน
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง ซึ่งควรคิดคำนึงถึงตลอดเวลา
คือ ท่าทีของการสนทนา ถึงแม้จะนั่งคุยกันแบบไม่มีอารมณ์แล้ว
แต่ถ้าท่าทีของการสนทนาไม่ดี
โอกาสที่จะแก้ปัญหา ก็ยากเย็นแสนเข็ญเหมือนกัน


ท่าทีที่พึงระมัดระวัง คือ ท่าทีการสนทนาแบบหูทวนลม
ตามปกติทั่วไปเมื่อคนเราคิดจะคุยกันก็ต้องพึงมีท่าที
ที่เรียกว่า "รับฟังซึ่งกันและกัน" ไม่ใช่ฟังแบบขอไปที
หรือฟังแบบมีท่าทีหูทวนลม ถ้าเป็นแบบนี้ก็คุยกันไม่ได้นาน
และมักจะมีอาการ พาลพาโลตามมา
ในไม่ช้าก็จะมีอารมณ์ ตามมาอย่างแน่นอน


เมื่อมีอารมณ์เมื่อไร ก็เหมือนอย่างที่บอกไปแล้วในข้อแรก
ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จึงต้องพึงสังวรณ์ได้ตลอดเวลา
เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นให้นึกถึงคำว่า "อย่า" ที่นำมาฝากให้จงหนัก


จงช่วยทำให้ปัญหาหนักกลายเป็นปัญหาเบา
ช่วยให้ปัญหาเบากลายเป็นปัญหาบาง และเจือจางไปในที่สุด


3. อย่าตัดสินใจอะไรในทันที

ตามธรรมดาเมื่อคนเราที่เคยจู๋จี๋กัน อย่างมีความสุขมา
อาจจะสั้นบ้างยาวบ้างก็เถอะ
เมื่อมีเรื่องเลอะเทอะเปรอะเปื้อนเข้ามาสู่ชีวิตคู่
ทุกคู่มักอยากให้ "ปัญหา" ที่ใครเป็นผู้ก่อขึ้นมาก็ตาม ไม่ลุกลามต่อไป
จึงมักตัดสินใจในทันที ที่จะ "หยุดปัญหา"
ด้วยหวังว่าปัญหาจะได้หมดๆ ไป
หรือก็เพื่อจุดประสงค์ที่ว่า จะได้ลืมๆ กันไป


แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราต้องยอมรับว่า "ปัญหายังไม่ได้หมดไป"
ปัญหายังดำรงอยู่ เพียงแต่ว่ามันอาจจะซุกอยู่ใต้พรม
และมีแนวโน้มจะสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าเรายังพึงพอใจกับการตัดสินใจในทันที เพื่อที่จะหยุดปัญหาแบบนี้
ทางที่ดีควรหาทางแก้ปัญหา ด้วยการจับเข่าคุยกันแบบ "ไม่มีอารมณ์"
และ "ไม่มีท่าทีแบบหูทวนลม"


นอกจากนี้ ก็ไม่ควรตัดสินใจอะไรในทันที
ถึงแม้จะนั่งจับเข่าคุยกันนานแสนนาน แต่ก็ยังไม่พานพบ "ทางออก"


การตัดสินใจทันทีเมื่อเกิดปัญหาในชีวิตคู่แล้ว หาทางออกไม่ได้
มักตามมาด้วยการหลุดวาจาคำว่า "หย่าร้าง" หรือ "แยกทางกัน" ออกมา
เมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหลุดคำนี้ออกมาเมื่อไร
ถึงจะพูดด้วยท่าทีธรรมดาๆ แค่ไหน
ก็มักจะแฝงความรู้สึกว่าถูก "ท้าทาย" จากอีกฝ่ายอย่างช่วยไม่ได้
จึงไม่ควรตัดสินใจทันทีที่จะพูดคำว่า "หย่า" ออกมา
เมื่อชีวิตคู่มีปัญหาแล้วหาทางออกไม่ได้


ทางที่ดีควรมีเวลาคุยกันมากขึ้นอีกหลายๆ ครั้ง
ถ้าไม่มีอคติในจิตใจกันจนเกินไป จะพบว่า การคุยกันครั้งต่อๆ มา
สถานการณ์จะแตกต่างกว่า การคุยกันครั้งแรก และแนวโน้มโดยทั่วไป
สถานการณ์การคุยกันครั้งต่อๆ มา
น่าจะมีบรรยากาศที่ดีกว่าการคุยกันครั้งแรก
และไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย ที่เรามักจะหาทางออกได้ในที่สุด


ในทางกลับกันเมื่อคุยกันแล้ว เกิดหาทางออกได้
ก็อย่าเพิ่งตัดสินใจทันทีถึง "ทางออก" ที่หาได้ในขณะนั้น
เพราะมันอาจไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดก็ได้
ควรทอดเวลาของการตัดสินใจออกไปสักระยะเวลาหนึ่ง จึงค่อยตัดสินใจ


ในความเป็นจริงของชีวิตจะพบว่า
เมื่อทอดเวลาออกมาสักระยะหนึ่งจึงตัดสินใจ
เรามักจะพบการตัดสินใจที่ดีกว่าเสมอ
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงจริงๆ แล้ว
"อย่าตัดสินใจอะไรทันที" เมื่อมีปัญหาในชีวิตคู่


4. อย่าคิดถึงตัวเองมากเกินไป

โดยปกติธรรมดา เมื่อคนเรามีปัญหาขึ้นมา
ก็มักจะคิดถึงแต่แง่มุมของตนเอง คิดถึงแต่เหตุผล ที่เข้าข้างตนเอง
คิดถึงแต่ความถูกต้องของตนเอง มักจะลืมฟังเหตุผลของอีกฝ่าย
เมื่อเราไม่ฟังเหตุผลของอีกฝ่าย เมื่อเราไม่ฟังเหตุผลของอีกฝ่าย
ก็ยากที่จะหาข้อสรุปที่เป็นทางออกที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้


ลองนึกถึงอกเขาอกเรา ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมฟังเหตุผลของเราบ้างเลย
เราจะยอมไหม เราก็คงไม่ยอม ฉันใดก็ฉันนั้น
เมื่อคิดจะหาทางออกร่วมกัน จากปัญหาในชีวิตคู่ที่เกิดขึ้น
ต้องมีจุดยืนอยู่ที่ว่า "อย่าคิดถึงตัวเองมากเกินไป"


ในอีกมิติหนึ่งของ "อย่าที่ 4" นี้
นอกจากจะต้องคิดถึงอีกฝ่ายที่เป็นคู่ชีวิตเราไปพร้อมๆ กับการคิดถึงตัวเองแล้ว
ก็อยากฝากเป็นข้อคิดไว้ อีกนิดหนึ่งสำหรับชีวิตคู่ที่มี "ลูก" อยู่ด้วยว่า
"อย่าคิดถึงตัวเองสองคนที่เป็นคู่กรณีมากเกินไป ให้คิดถึงลูกด้วย"


เพราะการตัดสินใจใดๆ ของเราย่อมเข้าไปมีส่วน
เป็นผลกระทบต่อลูกบ้างไม่มากก็น้อย
เมื่อทั้งคู่หันมาคิดถึงลูกเมื่อเกิดปัญหาชีวิตคู่
อะไรๆ ก็อาจจะดูง่ายเข้าต่อการแก้ปัญหา


ลองคิดเพียงง่ายๆ ว่า เราเป็นผู้สร้างปัญหา
แต่ลูกต้องมามีผลกระทบรับกรรมไปด้วย มันถูกหรือไม่
ลองใช้วิจารณญาณพิจารณาดู ก็น่าจะรู้ได้ดี


ทั้ง 4 อย่าเมื่อเกิดปัญหาในชีวิตคู่ที่จาระไนมานี้
คงมีประโยชน์บ้างตามสมควรแก่กรณี สำหรับผู้ที่อยากแก้ปัญหา
แต่ถ้าไม่อยากแก้ปัญหา ก็ทำตรงข้ามทุกอย่าง
รับรองต้องได้ "หย่า" กันแน่นอน


กนกวลี



ที่มา...หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
http://www.elib-online.com/doctors/mental_divorce01.html 

วิธีแก้กรรมเรื่องเนื้อคู่

วิธีแก้กรรมเรื่องเนื้อคู่ 

 เรื่องเนื้อคู่นั้นตามหลักความเป็นจริงทุก ๆ คนจะมีเนื้อคู่แท้เป็นของตัวเอง
แต่ จะมีสักกี่คนที่จะได้เกิดมาร่วมกันเป็นเนื้อคู่แท้ และมีอีกหลายคนที่จะได้อยู่ร่วมกับคู่ครอง คู่กรรม คู่อื่น ๆ ที่ยังไม่ใช่เนื้อคู่แท้
ต้องแจ้งให้ทราบว่า ดวงคนเราทุกคนนั้นตามหลักความจริงมีเนื้อคู่แท้กันทุกคน
แต่ใครจะได้เกิดมาอยู่ร่วมกับเนื้อคู่แท้ของตนเท่านั้นเอง ที่พิมพ์แจ้งอย่างนี้ก็เพราะกรรมแต่ละคนทำมาไม่เหมือนกัน
บางท่านทำกรรมกับคนอื่นที่ไม่ใช่คู่ของตนมามากมาหลายภพชาติ
ก็จะทำให้เกิดมาในชีวิตนี้จะไม่ได้เจอและอยู่ร่วมกับเนื้อคู่ของตน
และจะได้ใช้กรรมกับคู่กรรม คู่ครอง คู่อื่น ๆ ที่ไม่ใช่เนื้อคู่แท้ทำให้ต้องทนทุกข์ทรมานดั่งเช่นทุกวันนี้
วิธีแก้กรรมเรื่องเนื้อคู่
1. ความซื่อสัตย์ต่อคนรัก
2. ความมั่นคงในความรัก
3. การไม่คิดและนอกใจต่อคนรัก
4. การไม่ผิดคู่ ลูก สามี หรือภรรยาใคร
5. ไม่พูด ไม่ทำให้คนที่รักกันต้องแตกแยกจากกัน (รักกันด้วยความถูกต้องด้วยความดี)
6. และสุดท้ายที่ห้ามทำอย่างเด็ดขาดคือการเป็นพ่อสื่อ แม่สื่อให้กับใคร เพราะจะเป็นกรรม ทำให้เราเกิดมาต้องพลัดจากคู่ครอง คู่แท้ คู่รักของตน
และคุณรู้ไหมว่าที่คุณเกิดมาในชีวิตนี้เกิดมาแล้วไม่เจอเนื้อคู่ ไม่ได้ครองรักกับเนื้อคู่แท้
เพราะคุณต้องผิดในข้อใดข้อหนึ่งในเรื่องการแก้กรรมเรื่องเนื้อคู่ที่พิมพ์แจ้งดั่ง ข้างต้น 6 ข้อนี้ เอง
แต่ถ้าในชีวิตนี้คุณ มีพร้อมทั้ง 6 ข้อ แต่ยังโดนคนรักไม่ซื่อสัตย์ต่อคุณ คุณจงยินดีกับการที่ได้รับเช่นนั้น
เพราะคุณได้ใช้กรรมในอดีตที่เคยทำมา ไม่ว่ากรรมจะมาจากอดีตชาติใดก็ตาม เพราะกรรมเก่านั้นย่อมส่งผลตามมาทุกชาติ
ถ้าเราได้ใช้กรรมมากเท่าใด จะเป็นผลดีกับตัวเราเอง ดีกว่าไปใช้กรรมในชาติต่อ ๆ ไปซึ่งจะเป็นทุกข์ไม่สิ้นสุด
รีบใช้กรรมให้หมด และอย่าสร้างกรรมในชีวิตปัจจุบันนี้ให้มากละ เพราะมันจะส่งผลต่อ ๆ กันไปทำให้กรรมมากยิ่งขึ้น
ทำกรรมในชีวิตปัจจุบันด้วยความดีความถูกต้อง แล้วศร ดวงของคุณจะชี้ไปในทางทีดี
เกิดในชาติ ภพใดก็จะมีแต่ความสุขความเจริญ และมีคู่รักที่ดีอยู่เสมอ
และ การแก้กรรม ถ้าทำได้ดั่งเช่นที่ได้พิมพ์แจ้งให้อ่านมา คุณจะแก้กรรมเรื่องความรักได้ถูกต้องอย่างแท้จริงนี้คือหลักกรรม ที่ต้องแก้ด้วยกรรม
คือการกระทำของตัวคุณเอง เคยทำอย่างไรต้องได้อย่างนั้น และกรรมไม่มีใครแก้ให้เราได้ นอกจากตัวเราเอง ด้วยเหตุ และผล
ถ้าไม่มีเหตุผลในปัจจุบันคงไม่เกิดขึ้นมา คิดด้วยปัญญาแล้วคุณจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างรู้เท่าทันทีเดียว 
การแก้กรรมเรื่องคู่ต่าง ๆ
1. แก้กรรมร้างคู่
คน บางคนขาดคู่แท้ คู่ถาวรเพราะวิบากกรรม ชาติก่อนอาจเคยทำให้คู่รักต้องเลิกกันไปโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม หรืออาจเคยพรากคู่รักให้แยกจากกัน หรือเคยยุยงให้เขาแตกกัน หรือขัดขวางมิให้เขาได้ครองคู่กัน
การแก้กรรมดวงที่ร้างคู่ให้ปฏิบัติ ดังนี้
1.1 ถวายเทียนคู่หรือแจกันคู่
ถวายให้ครบ 9 วัดอย่างต่อเนื่อง จะทำบุญเดือนละ 1 วัดหรือ 2 วัดก็ได้ตามแต่สะดวก
ให้ถวายในวันเกิดของตน เช่น คนเกิดวันพุธ ก็ไปทำบุญวันพุธ อธิษฐานจิตขอทำบุญเพื่อแก้วิบากกรรม ตั้งจิตภาวนาขอพรเรื่องคู่ตามที่หวัง
 (สามารถถวายสิ่งของอื่นแก่วัดได้ แต่ควรถวายสิ่งของที่ใช่เป็นคู่ เช่น เชิงเทียน)
2. แก้กรรมชีวิตคู่ไม่ราบรื่น
อาจเป็นเพราะชาติปางก่อน ทำบุญร่วมกันโดยไม่เต็มใจ
จึงเกิดมาเป็นคู่กัน แต่ความสัมพันธ์ไม่ราบรื่น
หรือเมื่อครั้งที่เคยเป็นคู่กันนั้น ขาดความปรองดองต่อกันหรือร่วมมือกัน จึงต้องมาทะเลาะเบาะแว้ง ให้แก้กรรมโดยปฏิบัติ ดังนี้
2.1 ร่วมใจกันทำบุญตักบาตรพระสงฆ์อย่างสม่ำเสมอ ต้องเป็นประจำสม่ำเสมอ ทุกกเช้า วันเว้นวัน หรือทุกอาทิตย์
2.2 ร่วมกันทำบุญถวายสังฆทานสม่ำเสมอ ทุกเดือน หรือ ทุก 3 เดือน
2.3 ร่วมกันสวดพระคาถาบท ทุกวันพระเป็นเวลา 3 เดือน จากนั้นสวดทุกวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ
2.4 เป็นเจ้าภาพหรือร่วมเป็นเจ้าภาพ เกี่ยวกับงานเลื้ยงวิวาห์ ออกแรงหรือออกเงินช่วยงานแต่งงานของคู่บ่าวสาวที่ไม่รวยนัก ไม่จำเป็นต้องเป็นคู่ที่เรารู้จักคุ้นเคยดี
2.5 ตั้งตนชอบอยู่ในจริยธรรมอันดี คิดดี พูดดี และทำดีต่อคู่รักทุกคู่ มิว่าจะรู้จักกันดีหรือไม่ ช่วยให้คู่รักเขาได้สมรักหรือได้เข้าใจกัน ไม่ทำให้เขาแตกร้าวกัน จะได้อานิสงค์แรงมาก
3. แก้กรรมคู่ไม่สมพงศ์ดวงกัน
คู่ที่มีดวงไม่ถูกโฉลกกัน หรือไม่สมพงศ์กันในทางพื้นเรือนชะตา เมื่อมาครองคู่ด้วยกันแล้ว
ชีวิตมักจะขรุขระไม่ราบรื่น มีอุปสรรคให้ฟันฝ่าจนเหนื่อยเสมอ หรืออาจมีความลุ่ม ๆ ดอน ๆ ก้าวหน้าช้า
มีความขัดสน หรือมีปัญหาอื่น ๆ ที่ทำให้หาความสุขสบายแท้จริงไม่ได้ ให้แก้กรรม ดังนี้
3.1 ร่วมกันทำบุญ ทำทานสม่ำเสมอ ทำบุญด้วยการออกแรงแทนเงินก็ได้ นำข้าวของไปบริจาคคนยากไร้ ไปอาสาช่วยงานบุญที่วัด
3.2 ร่วมกันตักบาตรพระสงฆ์
3.3 ไปไหว้พระ ทำบุญเติมน้ำมันตะเกียงร่วมกัน
3.4 ไปไหว้ศาลหลักเมืองด้วยกัน
3.5 ร่วมกันปล่อยนก ปล่อยปลาย ปล่อยหอยขม โดบไปซื้อปลาที่ตลาดสดมาปล่อย หรือไถ่ชีวิตสัตว์
3.6 ร่วมกันล้างบ้าน จัดบ้านใหม่ ไหว้พระที่บ้าน ไหว้เจ้าที่เจ้าทาง
4. อธิษฐานขอฟ้าให้พบหน้าคู่แท้
ต้อง ฟังผู้หลักผู้ใหญ่หรือคนในครอบครัวที่สูงวัย ที่ให้คำแนะนำ ตรงนี้เป็นบุญประการหนึ่ง บุญนี้จะหนุนนำให้ได้คู่ที่ดี ให้ได้ลูกที่ดีในลำดับต่อไป ต่อมาเป็นเรื่องของการทำบุญ คือไม่ทำให้คุณพ่อ คุณแม่เดือดร้อน ปู่ย่าตายายเดือดร้อน ร้อนกายร้อนใจว่าเราเอกเขรกเกเร ทั้งนี้จะเป็นบุญกุศลหนุนนำให้เราได้พบคู่รักอันเป็นคู่แท้ประการหนึ่ง อีกหลาย ๆ ประการที่กล่าวถึงดังต่อไปนี้ ถือว่าเป็นบุญกุศลในเรื่องที่จะให้สมหวังในความรักทั้งนั้น
การ กตัญญูกตเวทิตาต่อบิดามารดาและญาติผู้ใหญ่ในวงศ์ตระกูล ทำบ้านให้ร่มเย็นเป็นสุข การทำบุญกับบ้านเด็กกำพร้า การบริจาค หรือการทำบุญกับบ้านคนชรา การบริจาค หรือการทำบุญให้กับโรงพยาบาลสงฆ์ การบริจาคหรือการทำบุญกับมูลนิธิเพื่อนหญิง หญิงที่ถูกทำร้าย การบริจาคหรือการทำบุญกับโรงพยาบาล เป็นส่วนสำคุญที่จะเป็นบุญแรง เป็นบุญใหญ่ หนุนนำให้เกิดความสุขและความสำเร็จในเรื่องความรัก เพราะสถานที่ที่ได้กล่าวถึง มีสื่อทางจิตวิญญาณอันสัมพันธ์เกี่ยวกับบุญวาสนาบารมี ที่จะเกื้อหนุนให้เกิดพลังของผลบุญที่เกื้อหนุนในเรื่องของความรักและชีวิต ครอบครัว เมื่อทำบุญแล้วต้องมีการอธิษฐานบุญ ขอให้ตั้งจิตอธิษฐาน เมื่อท่านสงบนิ่งแล้วให้ระลึกถึงสิ่งที่เป็นผลบุญที่ได้กระทำอันเกี่ยวข้อง กับสิ่งที่ท่านได้ทำบุญมา และให้อธิษฐานว่า
“ขอให้ข้าพเจ้า ชื่อ-นามสกุลของท่าน ขอให้ประสบความสุข ความสำเร็จโดยเฉพาะในเรื่องของชีวิตคู่ เรื่องของครอบครัวขอให้มีความสุข ขอให้ได้พบคู่แท้ดังที่ปรารถนา หากใครก็ตามที่เป็นคู่แท้ ก็ขอให้พบโดยเร็วพลัน ขอให้ได้เรียนรู้ ขอให้อย่าได้พบกับคนที่หลอกลวง แต่ถ้าหากใครคิดจะหลอกลวง ทำร้าย ทำลายน้ำใจให้มีความรู้สึกเจ็บช้ำ จงอย่าได้กล้ำกลายเข้ามา ขอให้ห่างไกลหลีกลี้หนีไปจากบารมี หลีกลี้ไปจากเรา ขอให้มีบารมี บุญบารมีธรรมคุ้มครองเราด้วยเถิด หากใครเป็นคู่แท้แล้วไซร้ก็ขอให้จงมีโอกาสเข้ามาใกล้ ประดุจเทพอุ้มสม คือเทพหนุนนำ เทวดาชักพา ให้เกิดการพบหน้า มีจิตประภัสสรให้เกื้อหนุนกันต่อไป จากปัจจุบันถึงอนาคตด้วยเถิด สาธุ”
อะไร ประมาณนี้ ท่านก็จะสมหวังตามที่ปรารถนา ส่วนอธิษฐานมีส่วนเหมือนกัน กล่าวคือ ท่านที่เกิดวันอาทิตย์นั้น การอธิษฐานควรจะอธิษฐานหรือทำบุญในวันอาทิตย์หรือวันพฤหัสบดี ท่านที่เกิดวันจันทร์ควรจะทำบุญอธิษฐานขอพรจากเทวดาฟ้าดิน ในวันจันทร์หรือวันพุธ ส่วนท่านที่เกิดวันอังคารควรขอพรจากเทวดาฟ้าดินในวันอังคารและวันศุกร์ ท่านที่เกิดวันพุธกลางคืนควรอธิษฐานขอพรในวันพุธกลางคืนและวันเสาร์ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวของการอธิษฐานขอฟ้าให้พบหน้าคู่แท้ หวังว่าท่านคงไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อความสุขของท่านเองและคนรอบข้าง ให้สมหวังดังที่ปรารถนา พบรักในเร็ววัน


ธรรมะกับชีวิตประจำวัน : วิธี ‘สะเดาะเคราะห์’ ที่ถูกหลัก

ธรรมะกับชีวิตประจำวัน : วิธี ‘สะเดาะเคราะห์’ ที่ถูกหลัก

ความดี ความชั่ว ความสุข ความทุกข์ ความเสื่อม ความเจริญ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้น เกิดจากตัวเราเอง คือเราทำ ให้มันเกิดขึ้น เราคิด เราพูด เราทำ เราคบหาสมาคม เราไปมาในที่ต่างๆ แล้วมันก็เกิดอะไรขึ้นในชีวิตของเรา
       ไม่ได้เกิดอำนาจอะไรภายนอก แม้จะมีเรื่องภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ไม่ใช่ตัวการใหญ่ ตัวการใหญ่มันอยู่ที่ตัวเราเองทั้งนั้น
       แต่ว่าคนเรานั้นมีความผิดประจำตัวอยู่ประการหนึ่ง คือไม่ยอมรับว่าตัวผิดคนที่ทำอะไรไม่ถูกต้อง แล้วไม่ยอมรับว่าตัวผิด มีมากในบ้านเมืองของเรา มีอยู่ทั่วๆไป
       การไม่ยอมรับว่าตัวผิดนั่นแหละ คือตัวปัญหาของชีวิต 
       เช่นเรื่องสุข เรื่องทุกข์ เรื่องเสื่อม เรื่องเจริญ เรื่องดี เรื่องชั่วอะไรต่างๆ ที่มันเกิดขึ้น เราไม่ยอมรับว่าเป็นเรื่องของเรา เราก็แก้ไม่ได้ เพราะไปแก้ที่ภายนอก
       ไปแก้ที่ดวงดาวไปแก้ไม่ได้ ไปแก้ที่วันปีเกิด มันก็แก้ไม่ได้ เพราะว่าเราเกิดมาแล้ว เราจะถอยเข้าไปในท้องของคุณแม่แล้วเกิดใหม่ มันก็ไม่ได้ นอกจากไปทำพิธีบ้าๆ บวมๆ เช่นว่า ช้างที่มาเที่ยวเดินอยู่ในกรุงเทพฯ เขาให้คนที่มีความเชื่อปัญญาอ่อน ไปลอดใต้ท้องช้างสามรอบ สามครั้ง ครั้งละ ๒๐ บาท เสียเงินไม่ใช่ลอดเฉยๆ เสียเงินให้ควาญช้างเอาไปซื้อหญ้าให้ช้างกิน ลอดไปลอดมาถือว่าเกิดใหม่ มีชีวิตใหม่ อย่างนั้นมันไม่ได้ตั้งต้นชีวิตใหม่อะไร ยังโง่อยู่เท่าเดิมนั่นเอง
       มีคนคนหนึ่ง แกนึกว่าแกเคราะห์ร้าย เลยไปคิดว่าจะไปลอดใต้ท้องช้าง แล้วเวลาไปหมาที่คุ้นเคยมันไปด้วย หมาเมื่อไปถึงมันเห็นเท้าช้างเป็นของประหลาด เพราะมันใหญ่กว่าอะไรทั้งหมด มันก็เลยไปกัดเท้าช้าง คนนั้นกำลังลอด ช้างมัน จั๊กจี้ มันก็กระดิกเท้าเตะหมา แต่หมามันหลบทันเพราะตัวมันเล็ก คนที่กำลังคลาน หลบไม่ทัน เลยไปเตะเข้ากลางตัว ซี่โครงหักตาย ตายเพราะหาเรื่องจะไปเกิดใหม่นั่นเอง เกิดใหม่แบบนี้มันไม่ถูกต้อง มันไม่เป็นธรรม ไม่เข้าเหตุผล
       เราจะเกิดใหม่ก็ได้ ทุกคนเกิดใหม่ได้ เกิดใหม่หมายความว่า เรารู้ว่าผิดอะไร เราไม่ดีในเรื่องอะไร แล้วเราตั้งใจว่า จะไม่ทำเช่นนั้นอีกต่อไป เช่นสมมติว่าเราเป็นคนชอบดื่มสุราเมรัย สิ่งเสพติด ชีวิตร่างกายเปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อมทรัพย์สมบัติก็เสื่อม การงานก็เสื่อม อะไรๆก็เสื่อมไปหมด เสียหาย แล้วไปได้ฟังพระ ท่านบอกว่า การดื่มของมึนเมามันให้โทษหลายอย่างแก่ชีวิตร่างกาย ก็เกิดรู้สึกตัวขึ้น พอรู้สึกตัวก็ตั้งจิตอธิษฐานว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จะเลิกไม่ดื่มสุราเมรัยอันเป็นยาเสพติด ต่อไปนี้เกิดใหม่แล้ว ตั้งแต่วินาทีที่ตั้งใจว่าจะไม่ดื่มของมึนเมา ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่สูบกัญชา ยาฝิ่น ยาม้า อะไรก็ตาม ไม่แตะต้องมันอีกต่อไปเลย เลิกเด็ดขาด คนนั้นได้ชื่อว่าเกิดใหม่แล้ว แล้วก็ชื่อว่าสะเดาะเคราะห์ออกไปได้
       สะเดาะความชั่วนั่นแหละสะเดาะเคราะห์ ไม่ใช่มาวัดแล้วทำพิธีสะเดาะเคราะห์ แล้วกลับไปก็เหมือนเดิม เมาอย่างใดก็เมาอยู่อย่างเดิม เคยประพฤติชั่วอย่างใด ก็ประพฤติอยู่อย่างเดิม อย่างนี้ไม่ได้สะเดาะอะไร ไม่ได้เอาความชั่วออกจากตัว
       การสะเดาะเคราะห์ตามหลักพุทธศาสนานั้น เราจะต้องรู้จักว่า เรามีอะไรเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ เกิดเคราะห์ร้ายขึ้นในชีวิต เราค้นหาเหตุนั้นให้พบ เมื่อพบเหตุนั้นแล้วตัดเหตุนั้น คือเลิกไม่ประพฤติ ไม่ปฏิบัติในเรื่องนั้นต่อไป อย่างนี้เรียกว่า สะเดาะเคราะห์เด็ดขาด เคราะห์ร้ายจะไม่เกิดขึ้นแก่เราต่อไป 
       …อะไรๆ มันขึ้นอยู่กับตัวเราเอง อันนี้สำคัญ พระพุทธศาสนาสอนให้เรารู้จักช่วยตัวเอง ให้เรารู้จักพึ่งตัวเอง การช่วยตัวเอง การพึ่งตัวเองนั้น ต้องเอาพระธรรมคำสอนมาเป็นหลักในการช่วยตัวเอง ในการพึ่งตัวเอง เพราะธรรมนั้นเป็นสิ่งถูกต้อง เป็นสิ่งอำนวยความสุขให้แก่เรา ถ้าเราเอาธรรมะมาใช้…

วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ทรัพย์อันประเสริฐ คือ ทรัพย์ที่ไฟไหม้ไม่หาย น้ำท่วมไม่หมด โจรปล้นก็ไม่ต้องกลัว

ทรัพย์อันประเสริฐ คือ ทรัพย์ที่ไฟไหม้ไม่หาย น้ำท่วมไม่หมด โจรปล้นก็ไม่ต้องกลัว
อันนี้พระพุทธเจ้าเรียกว่า อริยะทรัพย์
บุคคลที่พระองค์ทรงมอบให้ หรือทรงฟังเรื่องอริยะทรัพ์เป็นคนแรก คือ สามเณรราหุล
ซึ่งเป็นธรรมชาติที่พ่อต้องการให้สมบัติกับลูกหลาน พระองค์จึงทรงให้บุตรของท่านเป็นคนแรก อันได้แก่


1) มีศรัทธา
คือเชื่อในสิ่งที่ใช้ปัญญาวิจารณ์และพิจารณา
ความหมายของศรัทธา คือ ต้องเชื่อ เชื่อว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้ดีชั่ว เลวหยาบ
เรามีกรรมเป็นแดนเกิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธ์
มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย มีกรรมเป็นที่มาและที่ไป เราเป็นอยู่ได้เพราะอาศัยกรรม
การเชื่อเรื่องกฎของกรรม ทำให้เชื่อต่อไปว่า ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว
คนที่มีศรัทธาและเชื่อก็จะขยันทำดี ขยันที่จะปฏิเสธความชั่ว เพราะเมื่อเชื่อก็ย่อมเกรงกลัวต่อบาป
พระองค์ทรงย้ำว่า ให้เชื่อในกฎของกรรมที่จะติดตัวไปในภพหน้าหลังความตาย


2) ศีล
การรักษาศีลจะทำได้ดีต่อเมื่อมีความระอายชั่วกลัวบาป หัวใจของการรักษาศีล มี 2 อย่าง คือ

2.1 การละอายชั่ว-กลัวบาป

2.1 อินทรีย์สังวร คือ สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ได้
คือ ตาเห็นรูปสวย หูฟังเสียงเพราะ จมูกดมกลิ่นหอม สิ้นรับรู้รสอร่อย
กายถูกต้องสัมผัส ใจรู้อารมณ์ ถ้าระวังอินทรีย์ทั้ง 6 ได้ สรุปสุดท้ายอินทรีย์ สำคัญที่สุดคือระวังใจ
ถ้าระวังใจได้ ก็รักษาศีลได้ทุกข้อ แต่ถ้าระวังใจไม่ได้ ศีลข้อไหนก็รักษาไม่ได้
แล้วระวังใจ ระวังอย่างไร แค่ระวังให้มีความละอายชั่ว
ระวังให้เกรงกลัวต่อผลที่จะทำผิดบาป อย่างนี้เรียกว่าผู้รักษาศีล หรือผู้เจริญศีล


พระพุทธศาสนา เข้ามาเมืองไทยหลายร้อยปีแล้ว ไม่ว่างานอะไรก็ต้องขอศีลก่อน
แต่มีใครบ้างที่ได้ศีลและอนิสงค์ของศีลกลับมาบ้าง เพราะที่ผ่านมาเรารับศีลแต่เพียงลมปาก
ศีลไม่จำเป็นต้องท่องศีลให้คนอื่นฟัง แต่เราควรปฏิบัติศีลให้คนอื่นดูว่าเรามีศีล
ให้เราเลือกเอาสัก 1 ข้อ แต่ให้เป็นหัวใจของเราในการปฏิบัติ


“ศีเลนสุขติงยันติ ศีลย่อมยังให้สู่สุคติ

ศีเลนโภคมัปทา ศีลย่อมยังให้เกิดโภคทรัพย์

ศีเลนพุทติงยันติ ศีลย่อมยังให้สู่พระนิพพาน”


3) หิริ คือ ความละอายชั่ว


4) โอตะปะ คือ ความเกรงกลัวต่อบาป
อันเป็นเหตุให้เราระวังตัวเอง เป็นการสร้างสติทางอ้อม เพราะคอยระวังไม่ให้กล่าวชั่ว กล่าวคำหยาบ
ซึ่งเป็นลูกโซ่ต่อเนื่องกัน เมื่อมีความระวัง ก็จะรักษาศีลไปโดยปริยาย


5) พาหุสัจจะ การได้ยิน ได้ฟัง ทำให้เราเจริญ ทำให้เรามีความรู้มากขึ้น
สิ่งที่เคยรู้แล้วก็จะได้กระจ่างมากขึ้น ก็ทำให้ทำลาย ความลังเลสงสัยได้
แล้วทำให้จิตนี้มีความเห็นถูกต้อง ทำให้จิตผ่องใส


6) จาคะ คือการบริจาค
หัวใจของการให้ คือ การให้อภัย
แต่หากไม่ใช้อภัยเขา เขาจะด่าว่าเรามือถือสากปากถือศีล
สูงสุด คือการให้อภัย มีน้ำใจ ไม่เห็นแก่ตัว


7) ปัญญา
คือ ความเจริญ รุ่งเรือง เป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ ปัญญาเป็นแสงสว่างในโลก

พระอาทิตย์สว่างเป็นบางเวลา แต่ปัญญาสว่างตลอดเวลา
และทำตัวเป็นที่พึ่งแก่ตนเอง และเป็นที่พึ่งแก่คนอื่นได้
คนที่อยู่ใกล้คนที่มีปัญญา จะเป็นคนเจริญรุ่งเรืองไปด้วย


ศีล 8 ไม่ได้ห้ามให้เข้าสังคม แต่ศีล 8 เป็นศีลของนักบวช พรหมจรรย์
น้ำที่พระพุทธเจ้าอนุญาตให้ดื่มได้ คือ น้ำผลไม้ และเป็นน้ำที่ไม่มีสารอาหารที่เกี่ยวกับโปรตีน
แต่หากเรากินเป็นยาก็ไม่ผิด แต่หากว่ากินเพื่อบำรุงบำเรอจะถือว่าผิด


การทำบุญจะถึงในเวลาที่ควรถึง และไม่ถึงในเวลาที่ไม่ควรถึง
เมื่อใดญาติท่านไปเกิดเป็นเปตร บุญนั้นจึงจะสำเร็จแก่ญาติของท่าน
แต่หากเมื่อใดญาติของท่านไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
อสุรกาย สัตว์นรก มนุษย์ เทวดา บุญของเราจะไม่ถึงญาติ เพราะว่า


- สัตว์เดรัจฉาน มีก้อนข้าวและหยดน้ำเป็นอาหาร


- มนุษย์ มีก้อนข้าวหยดน้ำ และปัจจัย 4 เป็นอาหาร


- เทวดา มีทิพยสมบัติเป็นอาหาร


- สัตว์นรก มีความทุกข์ เป็นอาหาร


- อสุรกาย มีมูดคูด อุจจาระ ปัสสวะ ของเน่าเหม็นเป็นอาหาร


ยกเว้นพวกเปรตที่จะมีผลบุญของญาติเป็นอาหาร
เพราะฉะนั้น การที่จะรู้ว่า ญาติของเราจะได้รับผลบุญหรือไม่ เป็นเรื่องตอบยากมาก
แต่ก็มีคำถามว่าเป็นไปได้ไหม ที่เราจะไม่มีญาติเป็นเปรตเลย
พระพุทธเจ้าตรัสว่ามนุษย์และสัตว์ในโลกนี้ ไม่มีใครเลย ไม่มีญาติเป็นเปรต
ญาติข้างพ่อข้างแม่ คนที่รู้จักกันก็เป็นญาติทั้งนั้น
เพราะฉะนั้น ทำบุญแล้วอุทิศให้ ญาติเหล่านั้นจะได้พ้นจากอัตภาพ


บารมี 10 ทัศน์ สำคัญทุกข้อ ถ้าปรารถนาพุทธภูมิ ไม่มีข้อใดด้อยกว่าข้อใด ปัญญาก็สำคัญ
แต่หากมีปัญญาอย่างเดียวไม่ทำทานแล้วจะไปสอนใคร
ถ้าหากตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
เพราะว่าทานเป็นเหตุปัจจัยให้สร้างบริษัท บริวาร มีพระสาวก บารมี 10 ทัศน์ได้แก่


1) ทาน เป็นเครื่องสร้างสัมพันธภาพ ระหว่างเราและสังคมรอบข้าง


2) ศีล


3) เนกขัมมะ


4) ปัญญา


5) วิริยะ


6) ขันติ


7) สัจจะ


8) อธิฐาน


9) เมตตา


10) อุเบกขา


ธรรม ทุกข้อสำคัญหมด อยู่ที่ว่าเราจะทำข้อใด ๆ ให้ลุล่วงในชาติใด ๆ นิพพานไม่ได้มาอย่างสบาย
ไม่ได้ได้มากจากการอ้อนวอน หรือขอภาวนา แต่นิพพานมาจากการวางและสลัด ไม่ปล่อยให้อะไรมาฉุดเราอยู่
นิพพานคือ ความผ่อนคลาย อิสระ โปร่งเบาสบาย แต่ถ้าเรายังติดอยู่ ยังผลัดวันประกันพรุ่งอยู่ ก็คงอีกนานกว่าจะนิพพาน



คาถาของหลวงปู่ คือ

- ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข

- มีใจอยู่กับกาย ไม่ได้สอดส่ายไปข้างนอก ควบคุมจิตนี้ได้ก็พอแล้ว


การกลัวความมืด เป็นธรรมชาติของมนุษย์ เป็นสัญชาติญาณของมนุษย์
เพราะมนุษย์มีความกลัวติดตัวมาตั้งแต่เกิดแล้ว เพราะว่ามีความกลัวจึงต้องอาศัยที่พึ่งพิง
และที่พึ่งที่เราต้องการชนะความกลัว คือ ศาสนา
และการที่มนุษย์มีศาสนา เพราะมนุษย์มีความกลัวจึงพึ่งสิ่งที่มีอำนาจสูงสุด
แต่ถ้าหากคุณทำวิปัสสนา แล้วยังกลัวอยู่แสดงว่า วิปัสสนาไม่สามารถเป็นที่พึ่งให้กับคุณได้ และไม่ทำให้คุณเห็นแจ้ง
เพราะคนที่กลัวที่สุดก็ตายไปแล้วเพราะฉะนั้นที่เรามีชีวิตอยู่ ไม่มีใครหนีพ้นความตายไปได
เพราะความตายเป็นสาธารณะ เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ และแท้ที่จริงที่กลัวนั้น คือ ความตาย
ถ้าหากกลัวความตาย พระพุทธเจ้าให้เจริญมรณานุสติ ความตายมีอยู่ 3 อย่างคือ


1) ขณิกมรณะ คือความตายเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ผิวหนังที่หลุดลอก ฟันน้ำนมที่หักไป ผมที่ร่วงหลุดไป


2) สมมุติมรณะ เช่น แก้วแตก ไมค์เสีย ไม้ผุกล่อน


3) สมุเฉถมรณะ คือตายขาดจากชาติหนึ่งไปอีกชาติหนึ่ง



สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
แต่ไม่ใช่ว่าธรรมะจะแก้กรรมได้ แม้แต่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ก็หนีกรรมไม่ได้
แต่การปฏิบัติธรรมเป็นกุศลกรรม
หากรู้ตัวว่า อวิชชากำลังเกิดขึ้น ก็ต้องทำชีวิตให้เป็นผู้รู้ เพื่อพูดดี คิดดี ทำดี
และทำมาก ๆ ทำถี่ ๆ ทำให้อกุศลกรรม ตามมาไม่ทัน จึงทำให้พ้นจากอกุศลกรรมให้ห่างไกล

จริตมี 6 จริต คือ ราคะ โทสะ โมหะ วิตก,
พุทธิจริต ศรัทธาจริต การเจริญกรรมฐานว่าอยู่ในจริตไหนให้ดูหนังสือวิถีพุทธ

การกรวดน้ำเป็นเพียงองค์ประกอบเท่านั้น แต่สำคัญที่สุดคือมีน้ำใจที่จะให้
http://www.legendnews.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=539346830&Ntype=38

เพียงแต่เฝ้าดูความสงสัย จะเห็นที่สิ้นสุดของความสงสัย โดย หลวงพ่อชา สุภัทโท

 บทความธรรมะวันนี้

   ข้อธรรมนี้ หลวงปู่ชา สุภัทโท ท่านเมตตาตอบไว้นานมาแล้ว แต่ยังคงสดใหม่เสมอสำหรับคนทุกสมัย เพราะตราบใดที่ยังมีนิวรณ์เครื่องปิดกั้นหนทางเจริญครอบงำอยู่ ยังก้าวล่วงไปไม่ได้ อาการเหล่านี้ก็ยังคงวนเวียนมาปรากฏ ท้าทายให้หาทางแก้ไขเสมอ
      
       ลองฟังแนวทางจากคำตอบ แล้วนำไปปฏิบัติกันนะคะ
      
       ‘ ง่วงเหงาหาวนอนมาก ทำให้ภาวนาลำบาก ควรทำอย่างไร
      
         มีวิธีเอาชนะความง่วงได้หลายวิธี ถ้าท่านนั่งอยู่ในที่มืด ย้ายไปอยู่ที่สว่าง ลืมตาขึ้น ลุกไปล้างหน้า ตบหน้าตนเอง หรือไปอาบน้ำ ถ้าท่านยังง่วงอยู่อีก ให้เปลี่ยนอิริยาบถ เดินจงกรมให้มาก หรือเดินถอยหลัง ความกลัวว่าจะไปชนอะไรเข้าจะทำให้ท่านหายง่วง ถ้ายังง่วงอยู่อีกก็จงยืนนิ่งๆ ทำใจให้สดชื่น และสมมติว่าขณะนั้นสว่างเป็นกลางวัน หรือนั่งริมหน้าผาสูงหรือบ่อลึก ท่านจะไม่กล้าหลับ ถ้าทำอย่างไรๆ ก็ไม่หายง่วงก็จงนอนเสีย เอนกายลงอย่างสำรวม ระวังและรู้ตัวอยู่จนกระทั่งท่านหลับไป เมื่อท่านรู้สึกตัวตื่นขึ้นจงลุกขึ้นทันที อย่ามองดูนาฬิกาหรือหลับต่ออีก เริ่มต้นมีสติระลึกรู้ทันทีที่ท่านตื่น
      
         ถ้าท่านง่วงนอนอยู่ทุกวัน ลองฉันอาหารให้น้อยลง สำรวจตัวเอง ถ้าอีกห้าคำท่านจะอิ่มจงหยุด แล้วดื่มน้ำจนอิ่มพอดี แล้ว กลับไปนั่งดูใหม่อีก เฝ้าดูความง่วงและความหิว ท่านต้องกะ ฉันอาหารให้พอดี เมื่อท่านฝึกปฏิบัติต่อไปอีก ท่านจะรู้สึก กระปรี้กระเปร่าขึ้นและฉันน้อยลง ท่านต้องปรับตัวของท่านเอง
      
       ‘ ควรจะนอนหลับมากน้อยเพียงใด
      
         อย่าถาม ตอบไม่ได้ บางคนนอนหลับคืนละประมาณ 4 ชั่วโมงก็พอ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญก็คือ ท่านเฝ้าดูและรู้จักตัวของท่านเอง ถ้าท่านนอนน้อยจนเกินไป ท่านก็จะไม่สบายกาย ทำให้คุมสติไว้ได้ยาก ถ้านอนมากเกินไป จิตใจก็จะตื้อเฉื่อยชา หรือซัดส่าย จงหาสภาวะที่พอเหมาะกับตัวท่านเอง ตั้งใจ เฝ้าดูกายและจิต จนท่านรู้ระยะเวลาหลับนอนที่พอเหมาะสำหรับท่าน ถ้าท่านรู้สึกตัวตื่นแล้วและยังซุกตัวของีบต่อไป นี่เป็นกิเลสเครื่องเศร้าหมอง จงมีสติรู้ตัวทันทีที่ลืมตาตื่นขึ้น
      
       ‘ จะเอาชนะกามราคะที่เกิดขึ้นระหว่างการฝึกปฏิบัติได้อย่างไร
      
         กามราคะจะบรรเทาลงได้ด้วยการเพ่งพิจารณาถึงความ น่าเกลียดโสโครก (อสุภ) การยึดติดอยู่กับรูปร่างกายเป็นสุดโต่งข้างหนึ่ง ซึ่งเราต้องมองในทางตรงข้าม จงพิจารณาร่างกายเหมือน ซากศพและเห็นการเปลี่ยนแปลงเน่าเปื่อย หรือพิจารณาอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เช่น ปอด ม้าม ไขมัน อุจจาระ และอื่นๆ จำอันนี้ไว้และพิจารณาให้เห็นจริงถึงความน่าเกลียดโสโครกของร่างกาย เมื่อมีกามราคะเกิดขึ้นก็จะช่วยให้ท่านเอาชนะกามราคะได้
      
       
‘ เมื่อโกรธ ควรทำอย่างไร
      
         ถ้าท่านมีโทสะในขณะภาวนา ให้แก้ด้วยเมตตาจิต ถ้ามีใครทำไม่ดีหรือโกรธ อย่าโกรธตอบ ถ้าท่านโกรธตอบ ท่านจะโง่ยิ่งกว่าเขา จงเป็นคนฉลาด สงสารเห็นใจเขา เพราะว่าเขากำลังได้ทุกข์ จงมี เมตตาเต็มเปี่ยมเหมือนหนึ่งว่าเขาเป็นน้องชายที่รักยิ่งของท่าน เพ่งอารมณ์เมตตาเป็นอารมณ์ภาวนา แผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลก เมตตาเท่านั้นที่เอาชนะโทสะและความเกลียดได้
      
         บางครั้งท่านอาจจะเห็นพระภิกษุรูปอื่นปฏิบัติไม่สมควร ท่านอาจจะรำคาญใจ ทำให้เป็นทุกข์โดยใช่เหตุ นี่ไม่ใช่ธรรมะของเรา ท่านอาจจะคิดอย่างนี้ว่า 'เขาไม่เคร่งเท่าฉัน เขาไม่ใช่พระกรรมฐาน ที่เอาจริงเอาจังเช่นฉัน เขาไม่ใช่พระที่ดี' นี่เป็นกิเลสเครื่องเศร้าหมองอย่างยิ่งของตัวท่านเอง อย่าเปรียบเทียบ อย่าแบ่งเขาแบ่งเรา จงละทิฐิของท่านเสีย และเฝ้าดูตัวท่านเอง นี่แหละคือธรรมะของเรา ท่านไม่สามารถบังคับให้ทุกคนประพฤติปฏิบัติตามที่ท่านต้องการหรือเป็นเช่น ท่านได้ ความต้องการเช่นนี้มีแต่จะทำให้ท่าน เป็นทุกข์ ผู้ปฏิบัติภาวนามักจะพากันหลงผิดในข้อนี้ การจับตาดูผู้อื่นไม่ทำให้เกิดปัญญาได้ เพียงแต่พิจารณาตนเองและความรู้สึกของตน แล้วท่านก็จะเข้าใจได้
      
       ‘ ควรจะทำอย่างไรเมื่อสงสัย บางวันวุ่นวายใจด้วยความสงสัยใน เรื่องการปฏิบัติ
      
         ความสงสัยนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา ทุกคนเริ่มต้นด้วยความ สงสัย ท่านอาจได้เรียนรู้อย่างมากมายจากความสงสัยนั้น ที่สำคัญก็คือ ท่านอย่าถือเอาความสงสัยนั้นเป็นตัวเป็นตน นั่นคืออย่าตกเป็นเหยื่อของความสงสัย ซึ่งจะทำให้จิตใจของท่านหมุนวนเป็นวัฏฏะอันไม่มีที่สิ้นสุด แทนที่จะเป็นเช่นนั้น จงเฝ้าดูกระบวน การเกิดดับของความสงสัยของความฉงนสนเท่ห์ ดูว่าใครคือผู้ที่สงสัย ดูว่าความสงสัยนั้นเกิดขึ้นและดับไปอย่างไร แล้วท่านจะไม่ตกเป็นเหยื่อของความสงสัยอีกต่อไป ท่านจะหลุดพ้นออกจาก ความสงสัยและจิตของท่านก็จะสงบ ท่านจะเห็นว่าสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นและดับไปอย่างไร ปล่อยวางความสงสัยของท่านและเพียงแต่เฝ้าดู นี่คือที่สิ้นสุดของความสงสัย
      
       
‘ วิธีฝึกปฏิบัติ (วิธีภาวนา) มีหลายวิธีจนสับสน
      
         มันก็เหมือนกับการจะเข้าไปในเมือง บางคนอาจจะเข้าเมืองทางทิศเหนือ ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ฯลฯ ทางถนนหลายสาย โดยมากแล้วแนวทางภาวนาก็แตกต่างกันเพียงรูปแบบเท่านั้น ไม่ว่าท่านจะเดินทางสายหนึ่งสายใด เดินช้าหรือเดินเร็ว ถ้าท่านมีสติอยู่เสมอ มันก็เหมือนกันทั้งนั้น ข้อสำคัญที่สุดก็คือ แนวทางภาวนาที่ดีและถูกต้องจะต้องนำไปสู่การไม่ยึดมั่นถือมั่น ลงท้ายแล้ว ก็ต้องปล่อยวางแนวทางภาวนาทุกรูปแบบด้วย ผู้ปฏิบัติต้องไม่ยึดมั่นแม้ในตัวอาจารย์ แนวทางใดที่นำไปสู่การปล่อยวาง สู่การไม่ยึดมั่นถือมั่น ก็เป็นทางปฏิบัติที่ถูกต้อง
      
         ท่านอาจจะอยากเดินทางไปเพื่อศึกษาอาจารย์ท่านอื่นอีก และลองปฏิบัติตามแนวทางอื่นบ้างก็ได้ พวกท่านบางคนก็ทำเช่นนั้น นี่เป็นความต้องการตามธรรมชาติ ท่านจะรู้ว่า แม้ได้ถามคำถามนับพันคำถามก็แล้ว และมีความรู้เรื่องแนวทางปฏิบัติอื่นๆ ก็แล้ว ก็ไม่อาจจะนำท่านเข้าถึงสัจธรรมได้ ในที่สุดท่านก็จะรู้สึกเบื่อหน่าย ท่านจะรู้ว่าเพียงแต่หยุดและสำรวจตรวจสอบดูจิตของท่านเองเท่านั้น ท่านก็จะรู้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสสอนอะไร ไม่มีประโยชน์ที่จะแสวงหาออกไปนอกตัวเอง ผลที่สุดท่านต้องหันกลับมา เผชิญหน้ากับสภาวะที่แท้จริงของตัวท่านเอง ตรงนี้แหละที่ท่านจะเข้าใจธรรมะได้
      
       ‘ จำเป็นไหมที่จะต้องนั่งภาวนาให้นานๆ
      
         ไม่จำเป็นต้องนั่งภาวนานานนับเป็นหลายๆ ชั่วโมง บางคนคิดว่ายิ่งนั่งภาวนานานเท่าใดก็จะยิ่งเกิดปัญญามากเท่านั้น ผมเคยเห็นไก่กกอยู่ในรังของมันทั้งวันนับเป็นวันๆ ปัญญาที่แท้เกิดจากการที่เรามีสติในทุกๆ อิริยาบถ การฝึกปฏิบัติของท่านต้องเริ่มขึ้นทันทีที่ท่านตื่นนอนตอนเช้า และต้องปฏิบัติให้ต่อเนื่องไปจนกระทั่งนอนหลับไป อย่าไปห่วงว่าท่านต้องนั่งภาวนาให้นานๆ สิ่งสำคัญก็คือท่านเพียงแต่เฝ้าดูไม่ว่าท่านจะเดินอยู่ หรือนั่งอยู่ หรือกำลังเข้าห้องน้ำอยู่
      
         แต่ละคนต่างก็มีทางชีวิตของตนเอง บางคนต้องตายเมื่อมีอายุ 50 ปี บางคนเมื่ออายุ 65 ปี และบางคนเมื่ออายุ 90 ปี ฉันใดก็ฉันนั้น ปฏิปทาของท่านทั้งหลายก็ไม่เหมือนกัน อย่าคิดมาก หรือกังวลใจในเรื่องนี้เลย จงพยายามมีสติและปล่อยทุกสิ่งให้เป็นไปตามปกติของมัน แล้วจิตของท่านก็จะสงบมากขึ้นๆ ในสิ่งแวดล้อมทั้งปวง มันจะสงบนิ่งเหมือนหนองน้ำใสในป่า ที่ซึ่งบรรดาสัตว์ป่าที่สวยงาม และหายากจะมาดื่มน้ำในสระนั้น ท่านจะเข้าใจถึงสภาวธรรมของสิ่งทั้งปวง (สังขาร) ในโลกอย่างแจ่มชัด ท่านจะได้เห็นความอัศจรรย์และแปลกประหลาดทั้งหลายเกิดขึ้นและดับไป แต่ท่านก็จะยังคงสงบอยู่เช่นเดิม ปัญหาทั้งหลายจะบังเกิดขึ้นแต่ท่านจะรู้ทันมันได้ทันที นี่แหละคือศานติสุขของพระพุทธเจ้า
      
       ‘ จิตฟุ้งซ่านมากทั้งๆ ที่พยายามจะมีสติอยู่
      
         อย่าวิตกในเรื่องนี้เลย พยายามรักษาจิตของท่านให้อยู่กับปัจจุบัน เมื่อเกิดรู้สึกอะไรขึ้นมาภายในจิตก็ตาม จงเฝ้าดูมัน และปล่อยวาง อย่าแม้แต่หวังที่จะไม่ให้มีความนึกคิดเกิดขึ้นเลย แล้วจิตก็จะเข้าสภาวะปกติตามธรรมชาติของมัน ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างความดีกับความชั่ว ร้อนกับหนาว เร็วหรือช้า ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีตัวตนเลย อะไรๆ ก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น เมื่อท่านเดินบิณฑบาตไม่จำเป็นต้องทำอะไรพิเศษ เพียงแต่เดินและเห็นตามที่เป็นอยู่ อย่ายึดมั่นอยู่กับการแยกตัวไปอยู่แต่ลำพัง หรือกับการเก็บตัว ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ใด จงรู้จักตัวเองด้วยการปฏิบัติตนเป็นปกติตามธรรมชาติ และเฝ้าดู เมื่อเกิดสงสัยจงเฝ้าดูมันเกิดขึ้นและดับไป มันก็ง่ายๆ อย่ายึดมั่นถือมั่นกับสิ่งใดทั้งสิ้น
      
         เหมือนกับว่าท่านกำลังเดินไปตามถนน บางขณะท่านจะพบสิ่งกีดขวางทางอยู่ เมื่อท่านเกิดกิเลส เครื่องเศร้าหมอง จงรู้ทันมันและเอาชนะมันโดยปล่อยให้มันผ่านไปเสีย อย่าไปคำนึงถึงสิ่งกีดขวางที่ท่านได้ผ่านมาแล้ว อย่าวิตกกังวลกับสิ่งที่ยังไม่ได้พบ จงอยู่กับปัจจุบัน อย่าสนใจกับระยะทางของถนน หรือกับจุดหมายปลายทาง ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าท่านผ่านอะไรไป อย่าไปยึดมั่นไว้ ในที่สุดจิตจะบรรลุถึงความสมดุลตามธรรมชาติของจิต และเมื่อนั้นการปฏิบัติก็จะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ ทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นและดับไปในตัวของมันเอง
      
http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9520000090521

บทความธรรมะ(สอนใจ) ตอน "อหิงสา"

บทความธรรมะ(สอนใจ) ตอน "อหิงสา" 

ขอขอบคุณจาก หนังสือ "แนวทางสู่ความสุข"(หน้า 112-113)
โดยผู้แต่ง "ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา"

เมื่อผู้อื่นมาทำร้ายเรา เราไม่ควรที่จะมีความโกรธความเกลียดอยู่ในจิตใจของเรา แต่เราจะต้องมีความรัก ความเมตตาต่อผู้ที่มาทำร้ายเราแทนที่เราจะไปว่าผู้ที่ทำร้ายเรา เราควรที่จะมาพิจารณาตัวเราเอง และพิจารณาว่าเราบกพร่องตรงไหน เราควรจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขสิ่งใดบ้าง เพื่อปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น เราใช้โอกาสที่ผู้อื่นมาทำร้ายเราในการฝึกจิตใจของเราให้รู้จักควบคุมอารมณ์ และเราก็ถือโอกาสเรียนรู้จากประสบการณ์นั้นๆจากปัญหานั้นๆ และจากความยุ่งยากเหล่านั้น

อหิงสา หมายถึง จิตใจที่ไม่มีความโกรธ ไม่มีความโมโห ไม่มีการคิดร้ายต่อผู้อื่น หมายถึง คำพูดที่ไม่ดุร้าย ไม่กล่าวร้าย ไม่นินทาในทางที่ไม่ดีเกี่ยวกับผู้อื่น และหมายถึง การกระทำที่ไม่มีการทำร้ายผู้อื่น ไม่มีการทำอะไรที่เสียหายต่อผู้อื่น หรือไม่ใช้กำลังในการโต้ตอบเมื่อผู้อื่นมาทำร้ายเรา

มนุษย์จะต้องรู้จักพูดด้วยความรักความเมตตา ด้วยวาจาที่อ่อนน้อมไม่ทำร้ายผู้อื่นด้วยคำพูดของเรา การกระทำของเราก็ควรจะมีแต่ความรักความเมตตา ความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ความกรุณาปราณี ดังนั้นการไม่เบียดเบียนผู้อื่นนั้น ควรจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา โดยการเข้าใจเกี่ยวกับความจริงว่า ทุกคนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเดียวกัน เป็นญาติสนิทกัน เราก็ไม่มีทางที่จะไปคิดร้ายหรือทำร้ายผู้อื่นได้ และเมื่อมีความรักความเมตตาอยู่ในจิตใจของเรา มีความสงบสุขในจิตใจของเรา จะไม่มีความโกรธ ความเกลียด หรือความรุนแรงใดๆทั้งสิ้น เมื่อมีธรรมะประจำใจ ก็จะมีแต่ความรักความเมตตา การเสียสละ การให้ การรับใช้ช่วยเหลือผู้อื่น การรับใช้ช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนจะทำให้ความเห็นแก่ตัวของ มนุษย์หายไป และการใช้กำลังในการโต้ตอบก็จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้ ดังนั้น อหิงสา จะอยู่ในตัวเราอย่างเต็มที่ก็ต่อเมื่อ มนุษย์มีสัจธรรม มีความรักความเมตตา มีความสงบสุข และมีธรรมะประจำใจ